ผมเข้าร้านหนังสือเป็นประจำ เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งในประเทศและต่างประเทศ หากคนอ่านหนังสือยังไม่หายไปจากโลก ย่อมมีร้านหนังสือเสมอ แต่หน้าตาอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามยุคสมัย
เหตุผลของการอ่านหนังสือ (ทั้งที่เป็นเล่มและ E-book)
1. เพื่อการเรียนในหลักสูตรปกติ
สามารถเป็นได้ทั้งภาคปกติที่มีหนังสือที่ต้องอ่าน ไปจนถึงการทำวิจัย หรือวิทยานิพนธ์ที่ต้องอ้างอิงหนังสือ เพราะกว่าจะเป็นหนังสือต้องผ่านการตรวจสอบความถูกต้องมากมายจึงน่าเชื่อถือกว่าสื่อดิจิตัลที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
2. เพื่อการเรียนรู้เจาะจงตามความสนใจ
อยู่ที่เป้าหมายการจะเอาไปทำอะไรบางอย่าง กลุ่มนี้จะรู้ชัดเจนว่าจะหาหนังสือประเภทไหน มักจะค้นคว้าไปพร้อมกับสื่อดิจิตัลซึ่งหาได้ง่ายกว่า แต่คนที่เลือกค้นหาหนังสือเพื่ออ่าน เป็นคนที่ต้องการความถูกต้องครอบคลุมน่าเชื่อถือ และหลายครั้งการพกหนังสือก็ง่ายที่จะค้นกลับไปกลับมา ง่ายกว่า E-book หรือสื่อดิจิตัลในบางมุม อย่างไรก็ตามจุดอ่อนของหนังสือคือกว่าจะออกมาใช้เวลา บางหัวข้ออาจล่าช้าเกินไป โดยเฉพาะยุคที่แข่งขันด้านข้อมูลสูงต้องการความรวดเร็ว
3. เพื่อเป็นการผ่อนคลาย
เราเห็นนักเรียนนั่งในร้านหนังสืออ่านคอมมิกส์ นิยาย แสดงว่าการอ่านรของเด็กๆ เพื่อผ่อนคลายยังมีอยู่ สำหรับผมส่วนใหญ่การหยิบหนังสือมาอ่านจะรู้สึกได้พักและผ่อนคลายจากความเครียดในแต่ละวัน ไม่รู้ใครเป็นเหมือนผมบ้าง
4. เพื่อสร้างวินัยการเรียนรู้
เรื่องนี้จะเป็นวินัยของบางคนที่ตั้งเป้าอ่านหนังสือเพื่อการเรียนรู้ เช่น ปีละ 10-30 เล่ม เดือนละ 1 เล่ม กลุ่มนี้เน้นวินัยมากกว่าเน้นเรื่องที่จะอ่าน
5. เพื่อเตรียมสอนในช่องทางอื่น
บางคนต้องเป็นวิทยากรในงานสัมมนา เวิร์คช้อป หรือช่องทางออนไลน์ ก็หาหนังสือมาเป็นเครื่องมือเพื่อความน่าชื่อถือและถูกต้องของข้อมูล เวลาพูดก็มีอ้างอิงที่ผู้ฟังยอมรับในความถูกต้องได้
ร้านหนังสือในอนาคตในทัศนะของผม
1. ตอบรับเหตุผลของการอ่าน
ผู้คนมีเหตุผลที่หลากหลายแต่พอเข้าใจได้ในการเข้ามาในร้านหนังสือ หากร้านหนังสือพุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มใด ก็ควรตอบสนองและทำตลาดที่รองรับกลุ่มนั้นๆ หลักสูตรปกติต้องทำงานกับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย, กลุ่มเพื่อการเรียนรู้เจาะจง ต้องสังเกตตลาดและแนวงคิดสังคมให้ออกในช่วงเวลาต่างๆ, กลุ่มเพื่อการผ่อนคลาย อาจจะมีพื้นที่สบายๆ หรือคาเฟ่ในร้านหนังสือ, กลุ่มวินัยการเรียนรู้ ต้องแนะนำหนังสือใหม่, กลุ่มเพื่อเตรียมสอนในช่องทางอื่น ก็ต้องจัดหมวดหนังสือให้ดี และเน้นหนังสือแนววิชาการ (Textbook) เป็นต้น
2. เน้นหนังสือที่เจาะลึกมากขึ้น (Nieche Items)
เมื่อคิดถึงร้านๆ นี้จะมีภาพลักษณ์บางอย่างเกิดขึ้นทันที ซึ่งมาจากความตั้งใจในการเลือกหนังสือของร้านหนังสือ และมาจากหนังสือประเภทที่ลูกค้าซื้อมากที่สุดจริงๆ ซึ่งอาจจะเป็น 2-3 หมวดหลัก ต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะหนังสือหมวดเดียวอาจจะไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนในการบริหารงานของร้านหนังสือได้
3. เป็นที่รวมของชุมชนในการสัมมนาย่อยหรือเวิร์คช้อป
พื้นที่จะใหญ่ขึ้นและแบ่งเป็นสัดเป็นส่วนเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น การทำเวิร์คช้อป การเปิดตัวหนังสือ การสัมมนาย่อย การขายหนังสือ หากบริหารต้นทุนและมีการเก็บค่าบริการเช่าพื้นที่อย่างเหมาะสม ธุรกิจร้านหนังสือจะมีความหลากหลายในการการเข้ามาของรายได้
4. ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ของชุมชน
เรื่องนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย โดยเฉพาะการนำเสนอหนังสือต่างๆ ให้ผู้อ่านอย่างถูกใจตามพฤติกรรมการค้นหาของแต่ละคน เทคโนโลยีเพื่อการคาดการณ์จะต้องนำมาใช้ในแอปร้านหนังสือ รวมทั้งการนำเสนอข้อมูลสัมมนา เวิร์คช้อป การเปิดตัวหนังสือเพื่อเชิญชวนผู้อ่านให้เข้าถึงและมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกิดขึ้นตามความสนใจ
การอ่านหนังสือทำให้เราได้รับประสบการณ์ที่ดื่มด่ำในความรู้ เพิ่มมุมมองเชิงลึกในเรื่องต่างๆ ช่วยให้เรามั่นใจในความรู้ขณะเดียวกันไม่ตัดสินอะไรเร็วเกินไป ส่วนตัวหวังว่าหนังสือที่เป็นรูปเล่มและร้านหนังสือจะอยู่ด้วยกันยาวๆ ในอนาคตนะครับ
ความคิดเห็น