ยุทธวิธีในการทำงานประกาศข่าวประเสริฐในสมัยอยุธยาตอนปลายเป็นวิธีที่น่าสนใจและลงตัวท่ามกลางปัจจัยที่ร่วมสมัยในยุคนั้น
300 ปีที่แล้ว สมเด็จพระนารายณ์ทรงเปิดรับชาติตะวันตกเพิ่มจากการทำการค้ากับจีนทางตะวันออกและเปอร์เซียอินเดียทางตะวันตก มีการค้าสำคัญๆ หลายอย่างเช่น ดีบุก หนังกวาง ไม้หอม เป็นต้น ชาติที่มีบทบาทสูงในการค้าคือฮอลันดา โปรตุเกส และฝรั่งเศส มีการซื้ออาวุธทันสมัย ปืนไฟ ปืนใหญ่ มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการวางกลศึกแบบใหม่คือระบบป้อมค่ายแบบตะวันตก
ปัจจัยสำคัญในซีกโลกตะวันตกคือการเริ่มต้นของยุคล่าอาณานิคมซึ่งมีเป้าหมายในการแสวงหาทรัพยากร อำนาจ และการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ แม้การเผยแพร่ศาสนาอาจะเป็นเพียงข้ออ้างที่มักถูกใช้เพื่อเป็นเหตุผลในการตัดสินว่าดินแดนใดเป็นดินแดนป่าเถื่อนสามารถเข้าไปยึดครอบครองได้ หรือดินแดนที่พัฒนาแล้ว ใช้วิธีผูกสัมพันธ์ทางการทูต แต่เป้าหมายที่บาทหลวงต้องการคือการเปลี่ยนทั้งประเทศให้เป็นคริสเตียน
สมัยอยุธยามีการตั้งระบบการควบคุมกำลังพลในราชอาณาจักร โดยกำหนดให้ประชากรส่วนใหญ่คือไพร่ (หรือเรียกว่าเลก) ประชากรส่วนน้อยคือเจ้านายหรือขุนนาง ประชากรทุกคนเมื่ออายุ 18-20 ปี ต้องเข้ากับเจ้านายโดยการขึ้นทะเบียนด้วยวิธีสักเลกเป็นรูปต่างๆ เป็นการสร้างอำนาจค้ำยันแบบระบบอุปถัมภ์ ไพร่ให้บริการเจ้านาย เจ้านายก็ต้องดูแลไพร่ให้ดี ไม่งั้นไพร่ก็สามารถเปลี่ยนสังกัดได้ เจ้านายที่มีไพร่มากก็สามารถต่อรองกับอำนาจที่สูงกว่าได้ตามลำดับจนกระทั่งถึงพระมหากษัตริย์
สมัยนั้นพ่อค้าชาวฮอลันดาสนใจเฉพาะการค้า ไม่สนใจเข้าแทรกแซงทางการเมืองเหมือนชาวฝรั่งเศส ด้วยการสนับสนุนของคอนสแตนติน ฟอลคอน อยุธยาจึงส่งทูตไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เพื่อเป็นการคานอำนาจกับประเทศยุโรปอื่นๆ
เชอวาลิเยร์ เดอ โชมองต์ และคณะทูตฝรั่งเศสเดินทางมายังอยุธยาเพื่อเชิญสมเด็จพระนารายณ์ให้เข้ารีตรับเชื่อในศาสนาคริสต์ แต่พระองค์ทรงปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ขณะเดียวกันก็เปิดให้สามารถประกาศกับทุกคนในราชอาณาจักรได้อย่างมีอิสระ เมื่อเจ้านายมาเชื่อ โดยระบบของสังคมก็เปิดให้ไพร่ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศมาเชื่อได้ง่ายขึ้นด้วย แต่อีกแง่หนึ่งหากมีการปิดกั้นทางความเชื่อโดยเริ่มที่เจ้านาย ไพร่ทั้งหมดซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมก็ถูกปิดโอกาสไปด้วย
เสรีภาพในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในเวลานั้นจึงไม่ได้ได้มาด้วยความง่ายดาย แต่ต้องใช้อำนาจค้ำยันระหว่างประเทศเพื่อให้เกิดเสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่ง จนกระทั่งพระเพทราชาก่อกบฏในระหว่างที่สมเด็จพระนารายณ์ล้มป่วยจนถึงแก่สวรรคต
พระเพทราชากลัวเกรงอิทธิพลของฝรั่งเศสที่มาขึ้นทุกวันผ่านความสัมพันธ์ทางการทูต การเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ของเจ้านายชั้นสูง และอำนาจของฟอลคอนที่มากขึ้นทุกวัน สุดท้ายสามารถปราบดาภิเษกสำเร็จ ใช้อำนาจประหารฟอลคอนและเชื้อสายของสมเด็จพระนารายณ์ สั่งไม่ให้มีการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ในราชอาณาจักรคงไว้เพียงการค้าทางทะเลเท่านั้น เป็นอันปิดฉากยุคเริ่มต้นของการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในสมัยอยุธยาตอนปลายไป
อ้างอิง:
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยา
พันตรีโบชอง, หอกข้างแคร่ บันทึกการปฏิวัติในสยาม และความหายนะของฟอลคอน
ราชทูตอยุธยาเข้าฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 |
![]() |
ป้อมเพชร เป็นป้อมขนาดใหญ่ก่อด้วยอิฐสลับกับศิลาแลง หนา 14 เมตร ลักษณะรูปทรงป้อมแบบหกเหลี่ยมแบบตะวันตก เป็นป้อมที่มีความสำคัญมากในสมัยนั้น |
![]() |
การแต่งกายของไพร่ ภาพจากการบันทึกในจดหมายเหตุลาลูแบร์ |
สมัยนั้นพ่อค้าชาวฮอลันดาสนใจเฉพาะการค้า ไม่สนใจเข้าแทรกแซงทางการเมืองเหมือนชาวฝรั่งเศส ด้วยการสนับสนุนของคอนสแตนติน ฟอลคอน อยุธยาจึงส่งทูตไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เพื่อเป็นการคานอำนาจกับประเทศยุโรปอื่นๆ
![]() |
บ้านของคอนแสตนติน ฟอลคอน ลพบุรี |
เสรีภาพในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในเวลานั้นจึงไม่ได้ได้มาด้วยความง่ายดาย แต่ต้องใช้อำนาจค้ำยันระหว่างประเทศเพื่อให้เกิดเสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่ง จนกระทั่งพระเพทราชาก่อกบฏในระหว่างที่สมเด็จพระนารายณ์ล้มป่วยจนถึงแก่สวรรคต
พระเพทราชากลัวเกรงอิทธิพลของฝรั่งเศสที่มาขึ้นทุกวันผ่านความสัมพันธ์ทางการทูต การเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ของเจ้านายชั้นสูง และอำนาจของฟอลคอนที่มากขึ้นทุกวัน สุดท้ายสามารถปราบดาภิเษกสำเร็จ ใช้อำนาจประหารฟอลคอนและเชื้อสายของสมเด็จพระนารายณ์ สั่งไม่ให้มีการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ในราชอาณาจักรคงไว้เพียงการค้าทางทะเลเท่านั้น เป็นอันปิดฉากยุคเริ่มต้นของการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในสมัยอยุธยาตอนปลายไป
อ้างอิง:
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยา
พันตรีโบชอง, หอกข้างแคร่ บันทึกการปฏิวัติในสยาม และความหายนะของฟอลคอน
ความคิดเห็น