"วังสวนดุสิต" เบื้องหน้าที่งดงามศิวิไลซ์ แต่เบื้องลึกเต็มไปด้วยความหนักพระทัยยิ่งนัก

โดย ดร.กนก ลีฬหเกรียงไกร
พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีความหนักพระทัยในหลายเรื่องต่อเนื่องจากสมัยรัชกาลที่ 4"

ครั้งหนึ่ง รัชกาลที่ 3  ทรงรับสั่งแก่ รัชกาลที่ 4 ว่า "ต่อไปภายภาคหน้า ศัตรูของสยามจะไม่ใช่พม่าอีกต่อไป แต่จะเป็นพวกฝรั่ง" จริงอย่างที่ทรงตรัสไว้ ทำให้รัชกาลที่ 4 ทรงเร่งพัฒนาศิลปวิทยาการบ้านเมืองในหลากหลายมิติเพื่อให้ประเทศสยามก้าวพ้นจากสังคมเกษตรกรรมที่ล้าหลังเข้าสู่สังคมของความเจริญแบบศิวิไลซ์ตามอย่างโลกตะวันตก

ในสมัยนั้นเอง โลกตะวันตกได้เดินเข้าสู่ยุคปฏิรูปอุตสาหกรรมเป็นที่เรียบร้อย ทางการเมืองเริ่มมีความรุนแรงในยุคล่าอาณานิคมมากขึ้น และเกิดจักรวรรดินิยมขึ้นในฝั่งยุโรปที่พร้อมจะห้ำหั่นกันโดยเฉพาะอาณาจักรไรซ์ของเยอรมัน กับฝรั่งเศส โลกหลุดจากสังคมเกษตรกรรมเข้าสู่ยุคก้าวหน้า มีการพัฒนาวิทยาการต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์ การทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ความเข้มข้นของการล่าอาณานิคมปะทุอย่างรุนแรงโดยเฉพาะฝรั่งเศสและอังกฤษที่จะมีอิทธิพลอย่างมากในแถบภูมิภาคนี้


ประเทศไทยหรือสยาม สำหรับผมเปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนหมู่บ้านฮอบบิตที่สงบสุขเหมือนไม่รู้สึกรู้สาว่าโลกได้ก้าวไปข้างหน้าไกลมาก และรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ณ เวลานั้น

บ้านเมืองไทย (สยาม) ในปี ค.ศ.1908 (พ.ศ.2451) สมัยรัชกาลที่ 5

การสรรจรหลักทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ในปี ค.ศ.1908 (พ.ศ.2451)


สมัยรัชกาลที่ 4 ทรงรับรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลก ทรงเร่งปฏิรูปประเทศในด้านการศึกษา เศรษฐกิจ การสร้างกลยุทธ์และยุทธศาสตร์ชาตินิยม มีการศึกษาวิทยาศาสตร์อย่างเอาจริงเอาจัง ทรงดำริเรื่องการเลิกทาส ซึ่งขณะนั้นบ้านเมืองจะเจริญขึ้นไม่ได้หากกำลังไพร่พลส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในมือของขุนนางข้าราชการ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่มีเสรีภาพในการทำการใดใด
(ท่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ ร.4 ยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่านของวัฒนธรรม)

ร.4 ทรงฉายร่วมกับคณะชาวต่างประเทศ หน้าพลับพลาที่ประทับค่ายหลวง ณ หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในการเสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง 18 สิงหาคม พ.ศ.2411
ต่อเนื่องมาถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับหลายประเทศในโลกตะวันตก เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย เดนมาร์ก อังกฤษ อิตาลี และอีกหลายประเทศในยุโรป "เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่ง ประเทศสยามและพระองค์เองเคยถูกจัดอันดับ 1 ใน 16 ผู้นำของโลกที่จะชี้นำโลกกันเลยทีเดียว"

ต้นศต.ที่ 20 ทรงถูกจัดให้เป็น 1 ในผู้นำของ 16 ชาติผู้จะชี้นำโลก (ร.5 ทรงประทับในลำดับที่ 6-ไม่มีเลข) ภาพนี้วาดโดยจักรวรรดิญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1903
เส้นทางชีวิตของรัชกาลที่ 5 เต็มไปด้วยความยากลำบาก สมัยของพระองค์การต่อกรกับเครื่องจักรสังหารอย่างกองกำลังของฝรั่งเศสและอังกฤษเป็นไปได้ยากลำบากมาก ฝรั่งเศสเข้ามายึดเอาประเทศทางฝั่งตะวันออกและแคว้นทางตอนเหนือของสยามไป คือ แคว้น 12 จุไทย, ลาว, กัมพูชา ส่วนอังกฤษที่ขนาบมาทางด้านตะวันตกและใต้ ยึดจากอินเดียเข้ามายังพม่าและมาเลเซีย ขึ้นมาจนถึงรัฐไทรบุรี รัฐกลันตัน รัฐตรังกานู และรัฐปะลิส ซึ่งเป็นของประเทศสยาม อย่างไรก็ดีพระองค์ยังทรงเสด็จประพาสยุโรปถึง 2 ครั้ง โดยเฉพาะฝรั่งเศสเยอรมัน อังกฤษ และอิตาลี "ดูเหมือนการเดินทางของพระองค์จะเป็นการคานอำนาจของเหล่ามหาอำนาจยุโรปไปด้วย"

การพัฒนาอาวุธหนักของฝั่งยุโรปในสมัย ร.5 ขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีเลย

รถถัง Mark 3 II ของเยอรมัน ในสมัย ร.5

โรงงานผลิตอาวุธในเยอรมัน ในสมัย ร.5
ในสมัยของพระองค์ ยิ่งเสด็จประพาสยุโรป พระองค์ยิ่งเครียด เพราะตระหนักถึงความร้ายแรงของสงครามหากมีการประทุขึ้นมาระหว่างกัน ซึ่งแน่นอน จะกระทบประเทศสยามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเปรียบมวยกันแล้ว การทหารบ้านเราพัฒนาไปได้อย่างยากลำบากมาก ระบบทหารประจำการก็ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น (สมัย ร.3 จะเกณฑ์ไพร่ออกรบเป็นครั้งๆ รบเสร็จก็เลิกทัพกลับบ้าน) ขณะที่ประเทศมหาอำนาจฝั่งยุโรปมีทหารมากมาย มีประสบการณ์ในการรบ และมีการพัฒนาอาวุธที่มีประสิทธิภาพร้ายแรง

"วังสวนดุสิต" โดย บัณฑิต จุลาลัย, พีรศรี โพวาทอง, และรัชดา โชติพานิช
กลับมาเรื่องหนังสือเล่มนี้ "วังสวนดุสิต" เป็นหนังสือที่บรรยายการสร้าง "วังสวนดุสิต" ที่ประกอบไปด้วยหมู่พระที่นั่งมากมาย อยู่ในอาณาเขตของสวนดุสิต เช่น พระที่นั่งที่ประทับหลักคือ พระที่นั่งอัมพรสถาน (ที่ประทับอย่างเป็นทางการของ ร.5-ร.7), พระที่นั่งอนันตสมาคม, พระที่นั่งวิมานเมฆ, พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน (ที่ประทับอย่างเป็นทางการของ ร.8 และ ร.9) และพระตำหนักอีกหลายองค์

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำริให้สร้างวังสวนดุสิตเนื่องจากเสด็จประพาสยุโรป และทอดพระเนตรเห็นบ้านเมืองที่สวยงามของยุโรป จึงตั้งพระทัยจะสร้างวังใหม่ให้ทันสมัยทัดเทียมกับโลกตะวันตก

พระที่นั่งอัมพรสถาน ในเขตพระราชวังดุสิต
สิ่งที่ผมเองเพิ่งรับรู้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้คือ พระที่นั่งและสิ่งก่อสร้างทั้งหมดในวังสวนดุสิต "ใช้ทรัพย์ส่วนพระองค์ และทรัพย์ที่ข้าราชการและชาวบ้านร่วมถวายในการสร้าง" ไม่ได้ใช้ทรัพย์ในส่วนของการพัฒนาประเทศเลย และการออกแบบตลอดจนวัสดุก่อสร้างเกือบทั้งหมดต้องนำเข้าจากตะวันตกเพราะบ้านเรายังทำไม่ได้

หนังสือเล่มนี้บรรยายการสร้างวังสวนดุสิต ตั้งแต่การกว้านซื้อที่ดิน การออกแบบอาคาร การตกแต่งภายในทั้งหมดที่พระองค์และผู้แทนพระองค์ต้องติดต่อไปยังบริษัทตัวแทนออกแบบวังในเยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศส และอังกฤษ ให้ทำการออกแบบพระตำหนัก, landscape, สวนป่า, การสร้างถนนในแบบที่ทันสมัย, การสร้างอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าของพระองค์เอง ฯลฯ โดยเฉพาะหนังสือเล่มนี้จะเน้น "พระที่นั่งอัมพรสถาน" มากเป็นพิเศษ เพราะเป็นที่ประทับหลักของพระองค์ และเป็นที่ที่พระองค์ทรงสนพระทัย เอาใจใส่ในรายละเอียดทุกอย่างในการก่อสร้าง ทรงเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งด้วยพระองค์เอง

การตกแต่งภายในพระที่นั่งอัมพรสถาน
การตกแต่งภายในพระที่นั่งอัมพรสถาน
การสร้างวังสวนดุสิต จึงนับเป็นการเปลี่ยนผ่านในรูปธรรมที่เห็นได้ด้วยตา จากประเทศสยามที่มีแต่แม่น้ำที่จอแจ พื้นเป็นดินและโคลน ผู้คนไม่นุ่งเสื้อผ้า (ส่วนบน) แลดูโดยรวมเป็นเมืองป่าเมืองเถื่อน กลายเป็นเมืองที่สวยสง่าทัดเทียมกับประเทศมหาอำนาจในยุโรป และที่นี่ถือเป็นรากฐานในการพัฒนาระบบสาธารนูปโภคพื้นฐานทั้งหมดของประเทศไทย เช่น การประปา, การไฟฟ้า, มาตรฐานการสร้างถนนและทางระบายน้ำ, และอื่นๆ อีกมากมายในเวลาต่อมา

"พระที่นั่งอัมพรสถาน" สร้างเสร็จและจัดงานสมโภชใน พ.ศ.2449 (ค.ศ.1906) ต่อมีอีกเพียง 4 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสวรรคคต ณ พระที่นั่งแห่งนี้ ก้าวสู่ยุคพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.6 ที่โลกมีแต่ความวุ่นวายของสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 และการปฏิวัติในเวลาต่อมา

อ้างอิง

  • "วังสวนดุสิต" บัณฑิต จุลาลัย, พีรศรี โพวาทอง, และรัชดา โชติพานิช
  • "ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย", คริสเบเคอร์ และผาสุก พงษ์ไพจิตร
  • "ชาวอิตาเลียนในราชสำนักไทย"

ความคิดเห็น