เหตุการณ์การแทรกแซงธรรมชาติเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างมีหลายครั้ง แต่การแหวกน้ำที่ทะเลแดงและแม่น้ำจอร์แดนเกิดขึ้นเพื่อสำแดงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอย่างมีเป้าหมายและลักษณะแตกต่างกัน
1. โมเสสแหวกทะเลแดง
น้ำในทะเลแดงแยกออกจากกัน (divided) เพราะลมตะวันออกพัดตลอดคืนจนทะเลกลายเป็นดินแห้งในส่วนที่อิสราเอลเดิน และทั้งหมดเดินข้ามทะเลแดงในเวลาเช้า
อพยพ 14:21 โมเสสยื่นมือออกเหนือทะเล และพระยาห์เวห์ก็ทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดโหมไล่น้ำทะเลตลอดคืน ทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง และน้ำแยกออกจากกัน
ลมพายุตะวันออกเป็นเครื่องมือสำคัญที่พระเจ้าใช้ช่วยโมเสสและอิสราเอล ถ้าเราประเมินดูทะเลแดงจุดที่อิสราเอลข้ามน่าจะกว้างประมาณ 1 กิโลเมตร ลึก 800 เมตร การทำให้น้ำแยกออกจากกันได้แสดงว่าลมพายุต้องแรงมาก
พระเจ้าให้โมเสสยื่นมือออกในช่วงเช้ามืด น้ำไหลกลับคืน (flow back) ในช่วงเช้า เวลานั้นลมพายุตะวันออกน่าจะอ่อนกำลังจนเป็นปกติ
อพยพ 14:26-27 จากนั้นพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงยื่นมือออกเหนือทะเล เพื่อให้น้ำทะเลไหลกลับคืนมาท่วมคนอียิปต์ ทั้งรถรบและพลม้าของพวกเขา” โมเสสจึงยื่นมือออกเหนือทะเล พอรุ่งเช้าทะเลก็ไหลกลับดังเดิม คนอียิปต์พากันหนีกระแสน้ำ แต่พระยาห์เวห์ทรงสลัดคนอียิปต์ลงกลางทะเล
เราสังเกตได้อีกว่าลมพายุจะต้องพัดอยู่ตลอดขณะเดินข้ามด้วย เพราะน้ำสามารถถูกพายุดันให้ตั้งขึ้นเหมือนกำแพงทั้งทางขวาและทางซ้ายพายุจึงต้องแรงขนาดเดินยากมาก เป็นอีกการอัศจรรย์ที่อิสราเอลไม่ปลิวไปกับลมด้วย หรือภาพที่อาจจะเป็นเหมือนภาพยนตร์เรื่อง Exodus: Gods and Kings (2014) ที่วางพายุไว้ห่างจากจุดที่อิสราเอลเดินไกลมาก ๆ จนลิบตา ซึ่งถ้าแบบนั้นจริง ๆ พายุจะไม่มีแรงจะพัดคนให้กระเด็นไปในจุดที่เดิน
อพยพ 14:29 ส่วนชนชาติอิสราเอลเดินไปตามดินแห้งกลางท้องทะเล น้ำตั้งขึ้นเหมือนกำแพงสำหรับพวกเขาทั้งทางขวาและทางซ้าย
2. โยชูวาแยกแม่น้ำจอร์แดน
แม่น้ำจอร์แดนเล็กกว่าทะเลแดงมาก ความกว้างประมาณ 1.6 กิโลเมตร (พระคัมภีร์ระบุว่าตอนนั้นเป็นฤดูน้ำหลาก) ความลึกประมาณ 1-3 เมตร เท่านั้น (แม่น้ำเจ้าพระยาลึกประมาณ 30 เมตร)
การแยกน้ำครั้งนี้ไม่ใช่แยกแบบตั้งเป็น 2 ข้างเหมือนทะเลแดง แต่เป็นการหยุดน้ำที่ไหลจากด้านบนจนน้ำตั้งเป็นกอง (stop flowing and pile up) ทำให้อีกส่วนของแม่น้ำจึงกลายเป็นดินแห้ง ลักษณะเหมือนมีอะไรที่มองไม่เห็นมากั้นจนน้ำพูนสูงขึ้น ส่วนน้ำที่พูนขึ้นก็ไปท่วมที่ทางเมืองทางเหนือของแม่น้ำจอร์แดนคือเมืองอาดัม
โยชูวา 3:13 และเมื่อฝ่าเท้าของปุโรหิตผู้หามหีบของพระยาห์เวห์องค์เจ้านายแห่งสากลพิภพ จะลงไปยืนอยู่ในแม่น้ำจอร์แดน น้ำในจอร์แดนจะแยกออก คือน้ำที่ไหลมาจากข้างบนจะตั้งขึ้นเป็นกองเดียว
โยชูวา 3:16 น้ำที่ไหลมาจากข้างบนก็หยุด และตั้งสูงขึ้นเป็นกองเดียวไกลออกไปถึงเมืองอาดัม ซึ่งเป็นเมืองอยู่ข้างๆ เมืองศาเรธานและน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลแห่งอาราบาห์ คือทะเลตายนั้นก็ขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง แล้วประชาชนก็ข้ามไปที่ฝั่งตรงข้ามเมืองเยรีโค
3. เอลีชาแยกแม่น้ำจอร์แดน
เป็นเหตุการณ์หลังจากที่พระเจ้าทรงรับเอลียาห์อาจารย์ของเอลีชาขึ้นสวรรค์ไปด้วยรถม้าเพลิง เอลียาห์มอบเสื้อคลุมให้เอลีชา จากนั้นเอลีชานำเสื้อคลุมของเอลียาห์มาฟาดน้ำ (hit) ในแม่น้ำจอร์แดน น้ำจึงแยกออกไปสองข้าง (divided) เอลีชาจึงเดินข้ามไปคนเดียวบนดินแห้ง
2 พงศ์กษัตริย์ 2:13-14 เอลีชาก็หยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ ที่ตกลงมาจากเอลียาห์นั้น และกลับไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน แล้วท่านก็เอาเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกลงมานั้น ฟาดลงที่น้ำ กล่าวว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของเอลียาห์สถิตที่ใด?” และเมื่อท่านฟาดลงที่น้ำ น้ำก็แยกออกไปสองข้าง และเอลีชาก็เดินข้ามไป
หากเรานับการอัศจรรย์ในพระคัมภีร์ เราจะพบว่ามีการอัศจรรย์มากมายเกิดขึ้น แต่หากจะเจาะลงไปในห้วงเวลา เราจะพบว่าไม่ใช่ทุกช่วงของประวัติศาสตร์จะมีการอัศจรรย์เกิดขึ้นเสมอไป แสดงถึงวัตถุประสงค์ที่เจาะจงของพระเจ้าเพื่อสำแดงบางอย่างที่พิเศษแก่ผู้คนในยุคต่าง ๆ อย่างตั้งใจ
คุณพบการอัศจรรย์ครั้งสุดท้ายเรื่องอะไรและมีวัตถุประสงค์อะไรที่พระเจ้าได้จัดเตรียมอย่างเป็นพิเศษ?
ความคิดเห็น