เหตุการณ์ความขัดแย้งและการปะทะกันระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีปราสาทพระวิหารในปี 2554 และล่าสุด 24-26 กรกฎาคม 2568 ในหลายจังหวัดตามตะเข็บชายแดนไทยและกัมพูชา ความขัดแย้งได้ทิ้งร่องรอยบาดแผลและความรู้สึกไว้ในใจของคนทั้งสองชาติ แม้ในทางกายภาพความขัดแย้งอาจสงบลง แต่ในทางจิตใจและสังคม หรือแม้แต่ด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม รอยร้าวเหล่านี้ยังคงอยู่
การพิจารณาสถานการณ์นี้จากมุมมองของคริสเตียน ไม่ใช่เพียงการวิเคราะห์เหตุการณ์ความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม แต่สำรวจหลักคำสอนที่สำคัญของพระคัมภีร์เกี่ยวกับสันติภาพ ความรัก และการอภัย ซึ่งเป็นแนวทางในการเยียวยาและสร้างสะพานเชื่อมความเข้าใจระหว่างผู้คน รวมทั้งความพยายามยามค้นหาวิธีในทางปฏิบัติเพื่อให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริงให้ได้
พื้นฐานแห่งสันติภาพในพระคัมภีร์
สำหรับคริสเตียน สันติภาพ (Shalom) ไม่ใช่แค่การไม่มีสงคราม แต่เป็นสภาวะของความสมบูรณ์ ความเป็นอยู่ที่ดี ความสงบสุข และความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า เพื่อนมนุษย์ และสิ่งทรงสร้าง พระเยซูคริสต์ทรงเป็น "องค์สันติราช" (Prince of Peace) และคำสอนของพระองค์เน้นย้ำถึงปลายทางแห่งสันติภาพอย่างสม่ำเสมอ แม้ระหว่างทางพระเยซูต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากมากมายแต่เพื่อไถ่บาปมนุษย์นำหนทางให้ผู้ที่เชื่อวางใจกลับมาสู่พระเจ้าซึ่งเป็นสันติภาพที่แท้จริง
อิสยาห์ 9:6 ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า “ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช”
โคโลสี 1:20 และโดยพระองค์ พระเจ้าทรงให้ทุกสิ่งคืนดีกับพระองค์เอง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่บนแผ่นดินโลกหรืออยู่บนสวรรค์ โดยทรงทำให้เกิดสันติภาพโดยพระโลหิตแห่งกางเขนของพระองค์
นี่เป็นคำสั่งและคำอวยพรที่ทรงพลังที่เตือนใจผู้เชื่อให้เป็นตัวแทนแห่งสันติภาพในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
เมื่อพิจารณาเหตุการณ์การปะทะระหว่างไทยและกัมพูชา เราต้องเริ่มต้นด้วยคำถามว่า สันติภาพตามหลักพระคัมภีร์ได้ถูกนำมาใช้อย่างไรในสถานการณ์นี้หรือไม่อย่างไร? เราต้องยอมรับความจริงว่าการปะทะกันไม่ว่าใครเริ่มก่อนหรือด้วยเหตุผลใดก็ตาม ย่อมขัดแย้งกับหลักการแห่งสันติภาพนี้โดยสิ้นเชิง สงครามนำมาซึ่งความสูญเสีย ความเจ็บปวด และความแตกแยก เป็นผลของความบาปของมนุษย์ไม่ว่าจะด้วยขั้นตอนปฏิบัติที่ละเอียดชอบธรรมเพียงใด แต่ไม่ควรต้องสูญเสียชีวิตใครไปเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่พระคัมภีร์มุ่งมั่นที่จะแก้ไขผ่านความรักและการคืนดี
ยากอบ 4:1-2 อะไรเป็นสาเหตุของสงคราม และการทะเลาะวิวาทกันในท่านทั้งหลาย? มันมาจากความปรารถนาชั่วของท่านที่ต่อสู้อยู่ภายในตัวพวกท่านไม่ใช่หรือ? ท่านทั้งหลายอยากได้แต่ไม่ได้ ท่านก็ฆ่ากัน พวกท่านโลภแต่ไม่ได้ ท่านก็ทะเลาะและทำสงครามกัน ท่านไม่มีเพราะไม่ได้ขอ
อย่างไรก็ดี การป้องกันตัว การปฏิบัติตามขั้นตอน การเตือน การพยายามประสานร่วมมือกันของทุกฝ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะ เป็นคุณธรรมที่ดีงามและเราควรพยายามที่สุดที่จะเป็นผู้สร้างสันติ แต่ในระบอบโลกที่เต็มไปด้วยความบาป เรามีความเข้าใจที่จำกัด ไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ที่ชอบธรรมได้เสมอ การพึ่งพาสติปัญญาจากพระเจ้าจึงสำคัญ และหากจะปะทะต้องให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุดเท่าที่จะสามารถควบคุมสถานการณ์ให้กลับมารักษาสันติภาพให้ได้มากที่สุด
บทบาทของความรักและการอภัย
หัวใจของหลักคำสอนคริสเตียนคือ ความรัก พระเยซูทรงสอนให้เรารักพระเจ้าอย่างสุดใจ และ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง (มัทธิว 22:37-39) สำหรับคริสเตียน ไม่มี "เพื่อนบ้าน" คนไหนที่ถูกยกเว้นจากความรักนี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนชาติใด ภาษาใด หรือมาจากฝั่งตรงข้ามในความขัดแย้งก็ตาม ความรักนี้เรียกร้องให้เรามองข้ามความแตกต่าง เชื้อชาติ และอคติ เพื่อเห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ในตัวผู้อื่น
ในบริบทของการปะทะกัน ความรักนี้เรียกร้องให้มีการอภัย พระเยซูทรงสอนให้เราอภัยคนที่ทำผิดต่อเรา ไม่ใช่แค่เจ็ดครั้ง แต่เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด (มัทธิว 18:21-22) ซึ่งหมายถึงการอภัยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด การอภัยไม่ได้หมายความว่าการกระทำผิดนั้นไม่สำคัญ หรือไม่ต้องมีการชดใช้ แต่หมายถึงการปลดปล่อยตนเองจากความขมขื่นและความพยาบาท การอภัยเป็นกระบวนการที่ยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความเจ็บปวดและความสูญเสียเกิดขึ้นจริง แต่สำหรับคริสเตียน การอภัยเป็นหนทางสู่การเยียวยาและการคืนดี ไม่ใช่แค่สำหรับเหยื่อเท่านั้น แต่สำหรับผู้กระทำผิดด้วย
มัทธิว 5:43 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า “จงรักเพื่อนบ้านของท่าน และเกลียดชังศัตรูของท่าน” แต่เราบอกพวกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน
เมื่อมีการปะทะกันเกิดขึ้น ไม่ว่าฝ่ายใดจะเริ่มก่อน หรือใครจะเป็นฝ่ายผิด การยึดติดกับความโกรธแค้นและความต้องการแก้แค้นจะยิ่งบ่มเพาะความขัดแย้งให้ทวีความรุนแรงขึ้น การเรียนรู้ที่จะอภัยซึ่งกันและกัน แม้จะใช้เวลาและต้องผ่านกระบวนการแสวงหาความจริงที่ซับซ้อน จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน การอภัยในที่นี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ต้องขยายไปถึงระดับชาติและสังคมด้วย ซึ่งอาจหมายถึงการร่วมกันค้นหาความจริง การยอมรับความผิดพลาดในอดีต การใช้องค์กรระดับประเทศทั้งทวิภาคและองค์กรระดับสากล ไปจนถึงการสร้างกลไกในการป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งซ้ำรอยอีกในอนาคต
ความยุติธรรมและการคืนดี
การแสวงหาสันติภาพและการอภัยในมุมมองคริสเตียนนั้นแยกไม่ออกจากความยุติธรรม สันติภาพที่แท้จริงไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากไร้ซึ่งความยุติธรรม การปะทะกันที่เกิดขึ้นมักมีรากฐานมาจากความไม่เข้าใจ การตีความสถานการณ์ เส้นเขตแดน การใช้แผนที่ หรือแม้แต่รากประวัติศาสตร์ที่แตกต่าง การแสวงหาความยุติธรรมในบริบทนี้คือการพยายามทำความเข้าใจต้นตอของปัญหา การเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย และการหาทางออกที่ยุติธรรมและเป็นธรรมที่พยายามเข้าใจจากมุมมองของทั้งสองฝ่าย
กระบวนการคืนดี (Reconciliation) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคริสเตียน นี่คือการที่ความสัมพันธ์ที่แตกหักได้รับการซ่อมแซมและฟื้นฟู พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าทรงคืนดีกับมนุษย์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ และทรงมอบพันธกิจแห่งการคืนดีนี้ให้แก่ผู้เชื่อ
2 โครินธ์ 5:18-20 สิ่งทั้งหมดนี้เกิดจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกับพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ และประทานพันธกิจในเรื่องการคืนดีนี้แก่เรา คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์โดยพระคริสต์ ไม่ทรงถือโทษในความผิดของพวกเขา และทรงมอบเรื่องราวการคืนดีนี้ให้เราประกาศ เพราะฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายผ่านทางเรา เราจึงวิงวอนท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกับพระเจ้า
สำหรับความขัดแย้งระหว่างประเทศ การคืนดีอาจหมายถึง
1. การพูดคุยอย่างจริงใจ
สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการสนทนาที่เปิดเผยและเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อทำความเข้าใจมุมมองและความรู้สึกของอีกฝ่าย ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายมีการเชิญทูตและผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศเป็นคนกลางรับฟังความจริงจากแต่ละฝ่าย ความจริงจะเป็นรากฐานสำคัญในการพูดคุยอย่างจริงใจ
2. การยอมรับความจริง
การรับรู้ถึงความเจ็บปวดและความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย บางครั้งอาจซับซ้อนและน่ากระอักกระอ่วนใจ แต่เป็นหนทางที่ดีให้กลับมาเห็นใจและคืนดีกัน
3. การชดเชยและความรับผิดชอบ
หากมีการกระทำผิดที่ชัดเจน อาจต้องมีการพิจารณาเรื่องการชดเชยหรือการแสดงความรับผิดชอบ เพื่อให้เกิดความรู้สึกยุติธรรมแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
4. การสร้างความสัมพันธ์ใหม่
ริเริ่มโครงการความร่วมมือทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ หรือการศึกษา เพื่อสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจระหว่างประชาชนในระดับรากหญ้า
กรณีของไทยและกัมพูชา มีการใช้กลไกหลายรูปแบบในการจัดการข้อพิพาทระหว่างประเทศ โดยเน้นกระบวนการเจรจาทางการทูต กลไกภูมิภาคทั้งทวิภาคี และสหประชาชาติ เพื่อให้เกิดการสันติภาพ การคืนดี และคลี่คลายความขัดแย้ง เช่น
1. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC) เป็นเวทีหลักในการหารือเรื่องเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยมีการประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูล แผนที่ และข้อคิดเห็นเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน
2. คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) มุ่งเน้นด้านความมั่นคง ป้องกันเหตุขัดแย้งบริเวณชายแดน เช่น การวางแนวทางปฏิบัติเพื่อลดความตึงเครียด และสร้างความเข้าใจระหว่างกองกำลัง
3. คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) เป็นการประสานงานในระดับภูมิภาค มีบทบาทในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของทั้งสองฝ่าย
4. การประชุมทวิภาคีระดับทูต เช่น รัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสองประเทศหารือกันโดยตรง เพื่อหลีกเลี่ยงการนำข้อพิพาทเข้าสู่เวทีระหว่างประเทศ
5. อาเซียน (ASEAN) แม้จะไม่ได้มีอำนาจบังคับใช้ แต่เป็นเวทีที่ส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกใช้การเจรจาอย่างสันติ โดยยึดหลักไม่แทรกแซง และการตัดสินใจโดยฉันทามติ
6. คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) องค์กรหลักของสหประชาชาติที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
7. คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council: UNHRC) องค์การระหว่างรัฐบาลภายใต้ระบบสหประชาชาติ เพื่อตรวจสอบ ประเมินสถานการณ์ และยับยั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศต่าง ๆ
8. คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross: ICRC) เพื่อตรวจสอบการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมต่อพลเรือน เชลยศึก และผู้บาดเจ็บตามหลักอนุสัญญาเจนีวา
9. อนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Convention) เป็นอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต โอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายเพื่อยุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั่วโลก
เจตนาขององค์กรทั้งหมดนี้เพื่อให้เกิดสันติภาพ การคลี่คลายความจริง และการคืนดี เป็นกลไกที่จำเป็นในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในระดับประเทศต่อประเทศ
บทบาทของคริสเตียนในความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ในสถานการณ์ความขัดแย้ง คริสเตียนไม่ควรเป็นผู้จุดชนวนความเกลียดชังหรือความรุนแรง แต่ควรเป็น ผู้สร้างสันติ (Peacemakers) และผู้เชื่อมความสัมพันธ์ (Bridge-builders) ซึ่งรวมถึง
1. การอธิษฐาน
การอธิษฐานเผื่อสันติภาพของทั้งสองประเทศ อธิษฐานเผื่อผู้นำเพื่อให้มีสติปัญญาในการตัดสินใจ และอธิษฐานเผื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง
มัทธิว 5:44 แต่เราบอกพวกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน
2. การให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นกลาง
ไม่ส่งเสริมข่าวลือหรือข้อมูลที่สร้างความเกลียดชัง แต่แสวงหาความจริงและแบ่งปันข้อมูลอย่างรับผิดชอบ
สุภาษิต 10:12 ความเกลียดชังเร้าให้เกิดการวิวาท แต่ความรักให้อภัยการละเมิดทุกอย่าง
3. การเป็นแบบอย่างของความรักและการเคารพซึ่งกันและกัน
แสดงออกถึงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติหรือสัญชาติ และปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพ
ลูกา 6:31 จงปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนอย่างที่พวกท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน
4. การสนับสนุนการเจรจาและการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ
สนับสนุนแนวทางทางการทูตและการพูดคุยเพื่อหาทางออกของปัญหา แทนการใช้กำลัง
มัทธิว 5:9 คนที่สร้างสันติก็เป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาทั้งหลายว่าเป็นลูก
โรม 12:18 ถ้าเป็นได้ เท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน
5. การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและจิตใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ฝั่งใดก็ตาม (อ่าน ลูกา 10:27-37 อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี)
ในประเทศไทยและกัมพูชาก็มีชุมชนคริสเตียนอยู่ทั้งสองฝั่ง ซึ่งสามารถเป็นตัวอย่างของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้าได้ หากคริสเตียนทั้งสองประเทศสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และร่วมมือกันในกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม นั่นจะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ในการส่งเสริมสันติภาพและความเข้าใจที่แท้จริง
สรุป: การสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน
การปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อน มีทั้งมิติทางประวัติศาสตร์ การเมือง และความรู้สึกส่วนบุคคล การมองเหตุการณ์นี้ผ่านมุมมองคริสเตียนไม่ได้หมายถึงการสรุปว่าใครถูกใครผิดอย่างง่ายดาย แต่เป็นการเตือนให้เรากลับมายังหลักการพื้นฐานของพระคัมภีร์คือ การแสวงหาสันติภาพ การฝึกฝนความรัก การให้อภัย และการสร้างความยุติธรรม
สันติภาพที่แท้จริงไม่สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยการใช้กำลัง หรือการหลงลืมความเจ็บปวดในอดีต แต่สร้างขึ้นได้ด้วยความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับความจริง การเปิดใจให้อภัย และการสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความเคารพและความเข้าใจซึ่งกันและกัน สำหรับคริสเตียน นี่ไม่ใช่เพียงแค่หลักปรัชญา แต่เป็นวิถีชีวิตที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่าง
เอเฟซัส 2:16-18 และทำให้ทั้งสองฝ่ายคืนดีกับพระเจ้าเป็นกายเดียวโดยทางกางเขน จึงเป็นเหตุให้การเป็นศัตรูกันหมดสิ้นไป พระองค์ทรงมาประกาศสันติภาพแก่พวกท่านที่อยู่ไกล และแก่บรรดาคนที่อยู่ใกล้ เพราะว่าโดยทางพระคริสต์เราทั้งสองฝ่ายมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน
ในอนาคต หากเราต้องการเห็นสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างไทยและกัมพูชา เราต้องก้าวข้ามความขัดแย้งที่ผ่านมาด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักและการอภัย ร่วมกันทำงานเพื่อสร้างความยุติธรรม และมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้สร้างสันติในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคล ระดับชุมชน หรือระดับชาติ การอธิษฐาน การเรียนรู้ และการลงมือปฏิบัติด้วยความรัก จะเป็นหนทางที่นำไปสู่การเยียวยาความสัมพันธ์ที่ร้าวฉาน และสร้างอนาคตที่เต็มไปด้วยสันติสุขสำหรับคนทั้งสองชาติ
ความคิดเห็น