ความย้อนแย้งของการมีศิษยาภิบาลและผู้นำเพื่อการอภิบาล

การศึกษาคริสตจักรที่กำลังมีปัญหาของนักศาสนศาสตร์และนักวิชาการเรื่องหนึ่งคือความคาดหวังของสมาชิกที่มีต่อผู้นำหรือศิษยาภิบาล เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นวัฎจักรบางอย่าง

สมาชิกเรียกร้องขอศิษยาภิบาลให้นำการเปลี่ยนแปลงมายังคริสตจักรเพื่อพัฒนาคริสตจักรให้ดีขึ้น แต่เมื่อศิษยาภิบาลนำเสนอการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง กลับถูกปฏิเสธโดยสมาชิก เกิดการต่อต้านศิษยาภิบาล บีบศิษยาภิบาลให้ลาออก จนบางครั้งถึงขนาดคริสตจักรไล่ศิษยาภิบาลออกจากตำแหน่ง แต่สมาชิกยังรู้สึกอยากเห็นคริสตจักรเปลี่ยนแปลงในฝ่ายวิญญาณอยู่ดีจึงเริ่มต้นมองหาศิษยาภิบาลใหม่ จากนั้นวัฏจักรก็ดำเนินต่อ

หลายคริสตจักรที่ถดถอยจะพบสัญญาณหนึ่งที่คล้ายกันคือมีการเปลี่ยนแปลงศิษยาภิบาลบ่อย และศิษยาภิบาลดำรงตำแหน่งอยู่ในช่วงสั้นๆ ไม่เกิน 3 ปีเท่านั้น

เส้นทางของศิษยาภิบาลและผู้นำฝ่ายวิญญาณในตำแหน่ง

1. ระยะฮันนีมูน (Honeymoon Period)

เป็นช่วงปีแรกของการได้รับการแต่งตั้ง ทั้งสมาชิกมีความชื่นมื่นในการเลือกและศิษยาภิบาลยังไม่เห็นสภาพความเป็นจริงในคริสตจักรมากนัก

2. ระยะแห่งความขัดแย้งและการเผชิญสิ่งท้าทาย (Conflicts and Challenges)

ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในปีที่ 2-3 ในการเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักร ความไม่สมบูรณ์ของทั้งคริสตจักรและสมาชิกมักจะถูกเปิดเผยภายใน 3 เดือน จากนั้นคือช่วงเวลาแห่งการปรับตัวและท้าทาย ไม่มีคริสตจักรไหนสมบูรณ์ขณะเดียวกันไม่มีศิษยาภิบาลคนไหนสมบูรณ์ ฉะนั้นระยะนี้จะเกิดแรงกดดันระหว่างกันสูงมากทั้งความขัดแย้งและความท้าทาย

3. ระยะทางแยกครั้งที่ 1 (Crossroad Period 1)

ในปีที่ 4-5 หากศิษยาภิบาลหรือคริสตจักรไม่อดทนเพียงพอ หรือปรับตัวไม่ได้ ก็จะต้องลงเอยไปสู่เส้นทางที่แยกกันเดินด้วยความอึดอัดเจ็บปวดทั้งสองฝ่าย แต่หากสามารถจัดการปัญหาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้คริสตจักรจะไปสู่ขั้นต่อไปซึ่งจะเริ่มเกิดผลจริงจัง

4. ระยะเกิดผล (Fruitful and Harvest Period)

ในปีที่ 6-10 คริสตจักรที่สามารถผ่านระยะทางแยกจะเกิดผลดี เพราะการปรับตัวทุกอย่างลงตัวเข้าใจความคิดและสไตล์การทำงานของกัน และกัน เกิดความไว้วางใจต่อกัน ระยะนี้เป็นพรมาก เพราะความรักสามารถลงลึกในหัวใจได้ในทางปฏิบัติ ไม่ใช่รักเพราะมองไม่เห็นความปัญหา แต่เป็นการยอมรับในความไม่สมบูรณ์ของกันและกันและเลือกที่จะก้าวข้ามได้

5. ระยะทางแยกครั้งที่ 2 (Crossroad Period 2)

โดยเฉลี่ยปีที่ 11 จะเกิดทางแยกอีกครั้งจากการเปลี่ยนแปลง ในทางแยกที่ดีคือศิษยาภิบาลสามารถสร้างผู้นำรุ่นใหม่จนเติบโตเพื่อตัวเองจะเดินหน้าต่อในการทรงเรียกใหม่ๆ ส่วนทางแยกที่ไม่ค่อยดีคือศิษยาภิบาลกลายเป็นคนต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเสียเอง อย่างไรก็ตามคริสตจักรที่กำลังเข้าสู่วิกฤตจะมาไม่ถึงจุดนี้อยู่ดี เพราะจะจบลงตั้งแต่ระยะที่ 2 แล้ว

ศิษยาภิบาล ผู้นำ และสมาชิกในคริสตจักรควรปรับตัวอย่างไรเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างดีตามพระประสงค์พระเจ้า?

1. ยึดมั่นในพระประสงค์พระเจ้า

หมายถึงพระมหาบัญญัติ (มัทธิว 22:37-39) และพระมหาบัญชา (มัทธิว 28:18-20) ที่เป็นพระประสงค์พระเจ้าสำหรับเราทุกคนและคริสตจักร

มัทธิว 22:37-39 พระเยซูทรงตอบเขาว่า “ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’  และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’

สิ่งใดไม่สะท้อนความรักที่มีต่อกันและกัน ไม่เสริมสร้างชีวิตให้ใกล้ชิดพระเจ้า ทุกฝ่ายต้องพิจารณาให้ใจและการกระทำกลีบมายังพระประสงค์พระเจ้าในเรื่องนี้ การรับใช้ที่ปราศจากความรัก ไม่เป็นประโยชน์อะไร รังแต่ทำให้เกิดการบาดเจ็บว่างเปล่า ทำร้ายจิตใจกันและกันมากกว่า

เรื่องพระมหาบัญชาก็เช่นกัน ปลายทางคือการประกาศสร้างสาวกตั้งคริสตจักร แต่จะมีกิจกรรมมากมายที่ก่อให้เกิดความสำเร็จของสิ่งนั้นได้ เราต้องเลือกให้ดีว่ากิจกรรมใดที่สนับสนุนให้เกิดความก้าวหน้าในพระมหาบัญาก็ควรสนับสนุน กิจกรรมใดไม่ก่อให้เกิดความก้าวหน้าในพระมหาบัญชาก็ควรมีน้ำใจลดละหากพิจารณาแล้วพี่น้องหรือผู้นำไม่เห็นด้วย

มัทธิว 28:18-20 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”

ฉะนั้นกิจกรรมใดที่ส่งเสริมให้บรรลุหรือต่อยอดใน 2 เรื่องนี้ทั้งศิษยาภิบาลและคริสตจักรควรยอมรับ

2. ถ่อมใจต่อกันและกัน

ทำให้เกิดความสุภาพอ่อนโยนและอดทนต่อกันและกันด้วยความรัก เมื่อพบความไม่เข้าใจก็สามารถพูดคุยกันได้ ความถ่อมใจต่อกันและกันทำให้เกิดการฟังกันและกันได้ดียิ่งขึ้น หากบรรยากาศคริสตจักรเต็มไปด้วยการกล่าวโทษชี้ถูกชี้ผิดตลอดเวลา ความรักที่คริสตจักรควรมีจะไม่สามารถฉายแสงออกมาจนทำให้คนนอกเห็นความรักพระเจ้าจนเป็นที่ประจักษ์แก่ตาได้

เอเฟซัส 4:2 คือจงถ่อมใจและมีความสุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอ จงอดทน จงอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก

ผู้นำควรตระหนักว่าการรับใช้พระเจ้าและปรนนิบัติพี่น้องเป็นสิ่งที่ควรรักษาเหมือนที่พระเยซูทรงวางแบบอย่างให้แก่เราคือให้เราปรนนิบัติพี่น้องเหมือนล้างเท้าสาวก และเราทุกคนควรมีท่าทีล้างเท้าของกันและกันด้วย

ยอห์น 13:14 เพราะ​ฉะนั้น​ถ้า​เรา​ผู้​เป็น​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​และ​พระ​อา​จารย์​ยัง​ล้าง​เท้า​ของ​พวก​ท่าน ท่าน​ก็​ควร​จะ​ล้าง​เท้า​ของ​กัน​และ​กัน​ด้วย

3. พยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

การพยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นสิ่งดี แต่ไม่ได้หมายความว่าเตือนสติกันไม่ได้ เพราะคริสตจักรเป็นพระกายของพระคริสต์และพระองค์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจึงตอบสนองพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายถึงการมองกันและกันแบบใครแพ้คัดออก แต่เราควรหนุนใจเสริมสร้างแนะนำกันด้วยความรักความเข้าใจและอดทนเพื่อให้เขาเปลี่ยนแปลงชีวิตตามพระเจ้าดีกว่า

1 โครินธ์ 1:10 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าวิงวอนท่านในพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอให้ปรองดองกัน อย่ามีความแตกแยกในพวกท่าน แต่ขอให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความคิดและความเห็น

ยากอบ 3:16-17 เพราะว่าที่ไหนมีความริษยาและความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นก็มีความวุ่นวายและการทำชั่วทุกอย่าง แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข การผ่อนหนักผ่อนเบา การยอมรับฟัง การเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาและผลดีต่างๆ ไม่มีการลำเอียง ไม่มีการหน้าซื่อใจคด

ในมุมปฏิบัติคริสตจักรแต่ละแห่งอาจมีรายละเอียดมากกว่านี้ซึ่งจะมีวิธีที่แตกต่างกัน แต่ความย้อนแย้งของการมีผู้นำฝ่ายวิญญาณและความต้องการของคริสตจักรเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องระมัดระวัง

ฮีบรู 13:17 จงนบนอบเชื่อฟังบรรดาผู้นำของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพวกเขาดูแลรักษาจิตวิญญาณของพวกท่านอยู่อย่างคนที่ต้องถวายรายงาน จงให้พวกเขาทำงานนี้ด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์แก่พวกท่านเลย

ขอพระเจ้าเสริมกำลังประทานสติปัญญาให้แก่ทุกฝ่ายครับ

อ้างอิง

[1] Ammerman, Nancy. (1998). Studying Congregations. TN: Abingdon Press.

[2] London, H.B. and Wiseman, Neil B. (2003). Pastors at Greater Risk. NC: Regal Books.

[3] Rainer, Thom S. (2014). Autopsy of a Deceased Church 12 Ways to Keep Yours Alive. TN: B&H Books.

[4] นันทชัย มีชูธน. (2024). "ถอดรหัสชีวิตศิษยาภิบาล ความสัมพันธ์ของศิษยาภิบาลกับบุคคลต่างๆ". กรุงเทพฯ: คริสตจักรเมืองไทย.

ความคิดเห็น