เข้าใจจังหวะเร่งและเบาของช่วงชีวิต

พระคัมภีร์สอนเราเรื่องการพิจารณาวันและเวลาเพื่อจะมีปัญญา

สดุดี 90:12 ขอ​ทรง​สอน​ข้า​พระ​องค์​ทั้ง​หลาย​ให้​นับ​วัน​ของ​ตน เพื่อ​พวก​ข้า​พระ​องค์​จะ​มี​จิต​ใจ​ที่​มี​ปัญ​ญา

การทำงานหนักเป็นสิ่งที่คนมุ่งมั่นประสบความสำเร็จหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การทำงานอย่างฉลาดเป็นสิ่งที่ต้องควบคู่กันไปเช่นกัน เพราะเราไม่ได้เป็นอย่างที่เป็นแบบนี้ตลอดไป วันหนึ่งกำลังก็ตก แรงไม่มี คิดไม่ออก เบลอ และทิ้งทุกอย่างไป

มากไปกว่าเรื่องงานหรือความตั้งใจส่วนตัว ชีวิตยังเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะพ่อแม่ ภรรยา และลูก การจัดสรรเวลาชีวิตเป็นช่วงๆ จึงต้องนำมาพิจารณา รู้จักหวะเร่งและจังหวะผ่อน และแม้ไม่คิด ชีวิตจะบังคับให้เราคิดเอง แต่จะดีหรอถ้าไม่เตรียมตัว

ฉะนั้นช่วงเวลาที่ต้องเข้าใจและควรลงจังหวะให้หนักก่อนจะเบา คือเข้าใจจังหวะเบา 3 ช่วงชีวิต ซึ่งได้แก่

1. ช่วงก่อนหรือหลังแต่งงาน 2 ปี

แต่ละคนไม่เหมือนกันต้องเลือกเอง ช่วงนี้คือการปรับตัวกับภรรยาก่อนจะมีลูก เพราะมีลูกแล้วชีวิตจะยุ่งมากและนานจนเมื่อลูกโตและแยกย้ายออกไปมีชีวิตของตัวเอง สามีภรรยาจะต้องอยู่กันเอง หากไม่มีช่วงเวลาปรับตัวแต่ต้น ไม่มีความสุขร่วมกันให้คิดถึง ชีวิตจะคู่ยากมากอาจสูบพลังใจกันและกันจนแห้งได้

หลายคู่พอลูกๆ ออกไปจากบ้านหมดแล้ว เขาไม่เคยเรียนรู้จักกันจริงๆ ทำให้เกิดความหงุดหงิดไม่พอใจกันตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนเรื่องใหญ่ น่าเสียใจที่บางคู่ก็เลือกที่จะแยกทางกันต่างคนต่างไปเพราะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรร่วมกันแล้ว

2. ช่วงที่ลูกอายุ 1-3 ขวบ และ 14-17 ปี

เป็นเวลาที่พ่อแม่ควรให้ความใกล้ชิดกับลูก อยู่กับเขาในช่วงเวลาสำคัญ แม้จะดึงเวลางานบ้างแต่คุ้มค่าต่อความสัมพันธ์ในระยะยาวอย่างแท้จริง

ช่วงแรกที่ลูกเกิดมาในครอบครัว พ่อแม่ต้องการเวลาดูแลอย่างจริงจัง และเวลานี้ผ่านไปอย่างรวดเร็วและแน่นอนเวลาแบบนี้จะไม่กลับมาแล้ว เช่นเดียวกันในช่วงวัยรุ่น ลูกต้องการผู้ที่นำทิศทางชีวิตเขา หนุนใจให้กำลังทุกเรื่อง เช่น การเรียน การเลือกเส้นทางชีวิต สุขภาพ การคบเพื่อน ชีวิตในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเรียนรู้จักพระเจ้า

สุภาษิต 22:6 จง​ฝึก​เด็ก​ใน​ทาง​ที่​เขา​ควร​จะ​เดิน​ไป และ​เมื่อ​เขา​เติบ​ใหญ่ เขา​จะ​ไม่​พราก​จาก​ทาง​นั้น

อย่าให้เรายุ่งจนจังหวะชีวิตของลูกในช่วงนี้ผ่านล่วงเลยไป เพราะความผิดพลาดนี้จะไม่สามารถนำกลับมาได้อีกต่อไป

3. ช่วงที่พ่อแม่อายุ 70 ปีขึ้นไป

คงไม่มีอยากรู้สึกฟ้องผิดไปตลอดชีวิตที่ไม่ได้อยู่ดูพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเลี้ยงดูเราต้องจากไปอย่างเพียงลำพังโดยไม่มีเราเป็นกำลังใจเคียงข้างท่าน เชื่อสิว่าแม้เราจะประสบความสำเร็จอย่างมากมาย แต่ทุกครั้งที่เรากลับมาคิดถึงช่วงเวลาสำคัญหากเราพลาดไป ความเจ็บปวดนั้นยากที่จะรับได้และจะบั่นทอนจิตใจของเราตลอดไป

เส้นทางชีวิตทั่วไปก็คงเป็นแบบนี้ หากเราวางแผนจังหวะชีวิตให้ดีตั้งแต่วันนี้เราจะใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เข้าใจตัวเองและผู้อื่น รักษาใจตนเอง คนรอบข้าง กระทั่งสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมแก่ผู้อื่นได้อย่างเข้าใจ

สำหรับผู้รับใช้ ผมเคยได้ยินมาบ่อยๆ ว่าบางคนทุ่มเทมาก คริสตจักรเติบโต สร้างสาวกได้มากมาย แต่พอหันมาดูตัวเอง ก็ปล่อยตัวจนสุขภาพเสีย ลูกๆ เอือมระอาไม่อยากรับใช้พระเจ้า พ่อแม่แก่เฒ่าอาจจะลำบากหรือจากไปอย่างเงียบๆ ไม่เห็นหน้าคร่าตาลูกผู้เป็นผู้รับใช้ที่เข้มแข็ง

ผมคิดว่าใจที่ทุ่มเทเป็นสิ่งดีไม่ผิดอะไร แต่ความเข้าใจที่เพิ่มพูนขึ้นทำให้ทุกคนควรกลับมาพิจารณาความสมดุลของชีวิตมากขึ้น เราควรเร่งทำงาน รู้จังหวะ รู้จักผ่อน สร้างสาวก และท้ายสุด เรียนรู้ยอมรับว่าทุกคนในที่สุดจะจากไป วันนั้นเราควรเลียนแบบอ.เปาโลที่พูดได้ว่าท่านได้สู้อย่างเต็มกำลัง วิ่งแข่งจนครบถ้วนแล้ว

2 ทิโมธี 4:7-8 ข้าพ​เจ้า​ได้​ต่อ​สู้​อย่าง​เต็ม​กำ​ลัง ข้าพ​เจ้า​ได้​วิ่ง​แข่ง​จน​ครบ​ถ้วน ข้าพเจ้า​ได้​รัก​ษา​ความ​เชื่อ​ไว้​แล้ว ตั้ง​แต่​นี้​ไป​มง​กุฎ​แห่ง​ความ​ชอบ​ธรรม​ก็​จะ​เป็น​ของ​ข้าพ​เจ้า ซึ่ง​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ผู้​พิพาก​ษา​ที่​ชอบ​ธรรม​จะ​ประ​ทาน​เป็น​ราง​วัล​แก่​ข้าพ​เจ้า​ใน​วัน​นั้น และ​ไม่​ใช่​แก่​ข้าพ​เจ้า​ผู้​เดียว​เท่า​นั้น แต่​จะ​ประ​ทาน​แก่​ทุก​คน​ที่​รัก​การ​เสด็จ​มา​ของ​พระ​องค์

ความคิดเห็น