มองเขมรแลสยาม ให้มุมมองหลายเรื่องที่มาจากทัศนะทั้งไทยและเขมรโดยแสดงหลักฐานงานเขียนอย่างตรงไปตรงมาทั้งฝั่งไทยและฝั่งเขมร เพื่อให้ข้อมูลที่เบลอๆ ไม่มีข้อยุติ เกิดข้อสรุปที่พอเห็นเค้าลางในฝั่งไทย ซึ่งหากเขมรได้ค้นคว้าในลักษณะเดียวกันคงจะมีประโยชน์มาก
หนังสือเล่มนี้เน้นข้อสรุปที่จัดหมวดตามหลักฐาน ได้แก่ มิติทางวัฒนธรรมที่มีการแลกเปลี่ยนไปมา พระองค์อีพระองค์เภา ความสัมพันธ์ด้านพุทธศาสนา ไตรภูมิฉบับไทยเขมร การสถาปนากษัตริย์เขมรโดยกษัตริย์ไทย สมณสาส์นการเมืองระหว่างพระอมรภิรักขิต (เกิด) สังฆราชไทย ไปยังพระสหายสมเด็จพระสุคนธาธิปดี (ปาน) สังฆราชกัมพูชาในยุคอาณานิคมฝรั่งเศส เป็นต้น
หากจะพิจารณาเฉพาะวัฒนธรรมความนิยมโดยไม่สนใจเขตแดน เราจะพบว่าวัฒนธรรมเขมรโบราณเป็นวัฒนธรรมสำคัญในแถบอุษาคเนย์ แต่อย่าเพิ่งสรุปว่าเขมรโบราณคือกัมพูชาในปัจจุบัน เพราะระยะเวลาและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมรวมทั้งการเคลื่อนไหวของผู้คนยังอีกยาวไกล เพราะละโว้เองก็เป็นเขมรโบราณพวกหนึ่งซึ่งตั้งใจรวมกับรัฐสุพรรณภูมิของชาวสยามจนเป็นรัฐอโยธยาและอยุธยาในเวลาต่อมา
สังคมลุ่มน้ำเจ้าพระยาในอดีตเป็นเบ้าหลอมรวมวัฒนธรรมและภาษามากมายเพราะเป็นสังคมการค้าที่เปิดรับวัฒนธรรมที่หลากหลาย เช่น มอญโบราณ จีน อินเดีย เปอร์เซีย ฯลฯ ภาษาถิ่นไทยในแถบนี้จึงมีความแตกต่างจากภาษาไท-กะได ในถิ่นอื่น เพราะมีภาษาเขมรผสมอยู่มาก เช่น เดิน จมูก นุ่งโจง ฯลฯ
ในด้านเครื่องดนตรี เราพบลักษณะเครื่องดนตรีไทยจารึกบนกำแพงปราสาทนครวัดและปราสาทอื่นๆ แต่ระบุยากว่าใครเป็นผู้เริ่มก่อน การละเล่นหนังใหญ่มีจารึกในสมุทรโฆษคำฉันท์ สมัยอยุธยาตอนต้นว่าเป็นการละเล่นของเขมรมาก่อน
โขนเองก็เป็นละครที่รับอิทธิพลมาจากเขมรโบราณโดยมีหลักฐานเป็นการบรรยายถึงพิธีอินทราภิเษกในกฎมณเฑียรบาลสมัยอยุธยา รวมทั้งหัวโขนที่มีความชัดเจนว่ามาจากอารยธรรมเขมรเพราะดูพิจารณาจากทศกรรณที่ 10 หน้าจะตั้งขึ้น ขณะที่รามยณะของอินเดียจะเป็น 10 หน้าขยายออกข้าง โขนจึงรับตรงจากเขมรโบราณไม่ใช่อินเดีย
วัฒนธรรมเขมรยิ่งรุ่งเรืองมากขึ้นในสยามจากการรับเอาพราหมณ์และนักปราชญ์จากราชอาณาจักรกัมพูชาเข้ามาสมัยเจ้าสามพระยาตีเอาเมืองพระนครหลง (นครธม) ของเขมรโบราณได้ในปี พ.ศ.1974 จุดนี้ทำให้เกิดความเสื่อมถอยของวัฒนธรรมเขมรโบราณอย่างชัดเจน จนกระทั่งเกิดการดูดกลับของวัฒนธรรมไทยไปยังกัมพูชา เช่น ตำแหน่งและพระนามพระเจ้าแผ่นดิน สมัยก่อนเขมรใช้ "กัมรเตง" เปลี่ยนเป็นระบบไทยทั้งหมด เช่น พระบาทสมเด็จ สมเด็จ เจ้าพระยา ออกญา ออกพระ ออกหลวง ขุน เป็นต้น
ในด้านภาษา เขมรรับภาษาไทยเข้าไปในระบบภาษาของตน เช่น การนับเลขที่เกินหน่วยสามสิบ จะใช้ระบบไทยคืออ่านว่าสามสิบ สี่สิบ หมื่น แสน ล้าน เป็นต้น
โขน และหนังใหญ่ เช่นกัน แม้เขมรจะเริ่มต้น แต่ก็รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจากไทยกลับไป มีกระบวนการพากย์โขนและบทเจรจา เพราะเขมรดั้งเดิมมีแต่บทพากย์ไม่มีบทเจรจา เป็นต้น
"ฉะนั้นไทยรับบางส่วนมาจากเขมร ปรับปรุงเป็นลักษณะเฉพาะตน แล้วถ่ายทอดกลับไปยังเขมรเป็นพลวัต การระบุว่าอันไหนใครเริ่มก่อนทำได้ แต่ต้องระบุช่วงเวลาไว้ไม่มาปนกันหรือเหมารวม"
ช่วงท้ายยังให้ทัศนะเรื่องพรมแดนว่าทำไมเขมรถึงคิดว่าไทยบางส่วนเป็นของเขา ซึ่งเป็นความเจ็บแค้นที่ถูกรัฐหยิบยืมเปิดแผลชาตินิยมอยู่เสมอ
"มองเขมรแลสยาม" เขียนโดย รศ. ดร. ศานติ ภักดีคำ หนังสือใหม่ออกเดือนพฤษภาคม 2568 ความหนา 320 หน้า ระดับความยาก: ปานกลาง เหมาะสำหรับคนไทยทุกคน
#BookReview #มองเขมรแลสยาม #รีวิวโดยกนก #กนกลีฬหเกรียงไกร #kanokleelahakriengkrai
ความคิดเห็น