ในจำนวนประชากรตามภาคที่มากที่สุดในประเทศไทยคงหนีไม่พ้นชาวอีสานบ้านเฮานี่เอง
นอกจากจะมีจำนวนมากแล้วยังมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานอีกด้วย โดยมีหลักฐานการตั้งรกรากของประชากรนับย้อนกลับไป 10,000 ปี ตั้งแต่ยุคหินก่อนประวัติศาสตร์ ยุควัฒนธรรมโบราณต่างๆ จนถึงยุคปัจจุบัน
บริเวณที่ราบอีสานที่มีการพบร่องรอยวัฒนธรรมโบราณมากมายประกอบด้วยที่ราบสูงส่วนบนเรียกว่า "แอ่งสกลนคร" และที่ราบสูงส่วนล่างคือ "แอ่งโคราช" ทั้งหมดกินบริเวณหลายจังหวัดตามภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน
ชุมชนโบราณรวมตัวเป็นเมืองสามารถขุดพบได้มากกว่า 500 แหล่งที่มีคูคันดินล้อมรอบอย่างชัดเจน เป็นสังคมปลูกข้าว ค้าเกลือ และแร่เหล็ก ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 6-8 (คริสตศตวรรษที่ 1-3) เกิดรัฐที่มีอำนาจจากผู้อพยพมาจากอินเดียเกิดเป็น "รัฐฟูนัน" และ "รัฐเจนละ" ซึ่งถือเป็นบรรพบุรุษของกัมพูชาในระยะเริ่มแรก ต่อมาพุทธศตวรรษที่ 12 (คริสตศตวรรษที่ 7) วัฒนธรรมทวาราวดีจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาแผ่มาทางอีสาน เกิด "รัฐศรีจนาศะ" บริเวณแอ่งโคราช และ "รัฐศรีโคตรบูรณ์" ที่แอ่งสกลนคร เวลานั้นอำนาจรัฐเจนละเสื่อมถอยลง
พุทธศตวรรษที่ 15-16 (คริสตศตวรรษที่ 10-11) อารยธรรมเขมรเข้ามาสู๋ดินแดนอีสานอีกครั้งสมัยเมืองพระนครในรัชสมัยพระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 2 ซึ่งกลุ่มเจนละยังคงเป็นประชากรเขมรในอีสานอยู่ก่อนแล้ว อารยธรรมเขมรได้รุ่งเรืองสูงสุดในพุทธศตวรรษที่ 17-18 (ครึ่งทาง) คือในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 และอีกครั้งในพุทธศตวรรษที่ 18 โดยกลุ่มเขมรจากนครธมสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จากนั้นเขมรเสื่อมอำนาจ ถูกตีโดยพระเจ้าอู่ทองจนกลายเป็นเมืองขึ้นของชาวสยามทั้งหมด
วัฒนธรรมอีสานยังดำเนินต่อไปภายใต้การปกครองของอยุธยา ปลายพุทธศตวรรษที่ 19 (คริสตศตวรรษที่ 15) อาณาจักรล้านช้างแผ่อำนาจเข้ามาทางอีสาน คนลาวอพยพเข้ามามากมายจากความขัดแย้งของอาณาจักรล้านช้าง จำปาศักดิ์ และหลวงพระบาง จนถึงพุทธศตวรรษที่ 23 (คริสตศตวรรษที่ 18) พระเจ้ากรุงธนส่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเข้ายึดเวียงจันทน์ได้สำเร็จ นับแต่นั้นเป็นต้นมา อาณาจักรล้านช้างได้ตกเป็นเมืองขึ้นของสยาม จนถึงยุครัชกาลที่ 5 ดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงถูกยกให้เป็นของฝรั่งเศส และเปลี่ยนดินแดนฝั่งตะวันตกทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียวกับประเทศสยามไม่ใช่ดินแดนประเทศราษฎร์อีกต่อไป
เส้นทางประวัติศาสตร์นี้ทำให้เกิดการถ่ายทอดซึมซับดัดแปลงและสร้างวัฒนธรรมเฉพาะตัวของอีสานขึ้นอย่างมีอัตลักษณ์ เช่น ภาษา ตัวอักษร ดนตรี การแสดงพื้นถิ่น และอื่นๆ อีกมากมายที่เราเห็นได้ในปัจจุบัน
"ประวัติศาสตร์และศิลปะอีสาน" เขียนโดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ สุรพล ดำริห์กุล หนังสือใหม่ พิมพ์ในปี 2567 ความหนา 416 หน้า ระดับความยาก: ปานกลาง เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจในประวัติศาสตร์ศิลป์อีสานแบบครบถ้วนเห็นภาพรวม ลองหามาอ่านครับ ส่วนตัวผมชอบมากเล่มนี้
ความคิดเห็น