พิพิธภัณฑ์แห่งผู้เป็นอื่น

พิพิธภัณฑ์ระดับโลกอย่างบริติชมิวเซียม ลอนดอน เดอะเมโทรโพลิทัน นิวยอร์ค ลูฟวร์ ฝรั่งเศส และหลายประเทศในยุโรป เต็มไปด้วยโบราณวัตถุที่มาจากทั่วโลกจัดแสดงไว้ทั้งแบบถาวรและนิทรรศการชั่วคราวที่มีวัตถุประสงค์ แต่ลึกๆ แล้วมีการจัดลำดับด้วยความเหลื่อมล้ำอยู่มาโดยตลอดทุกยุคสมัย

ความคิดของผู้เป็นอารยะ (civilized) จะเอาตัวเองไว้ที่ปลายสุดของความยิ่งใหญ่ แล้วให้อนารยะ (barbarous) อยู่ที่ปลายอีกฝั่งหนึ่ง และใช้ความคิดของดาร์วิน เพื่ออธิบายการคัดสรรตามธรรมชาติที่มอบชัยชนะให้ผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ส่วนผู้ที่พ่ายแพ้ก็ถูกปกครองหรือสิ้นอารยธรรมไป

พิพิธภัณฑ์ระดับโลกเหล่านี้ในยุคหนึ่งเต็มไปด้วยแนวคิดนี้ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติจัดแสดงโบราณวัตถุของชาติอารยะ พิพิธภัณฑ์แห่งผู้เป็นอื่นก็จัดแสดงโบราณวัตถุของอนารยะอื่นๆ ที่พ่ายแพ้ถูกยึดประเทศ ประชาชนถูกจับมาเป็นทาสแรงงาน ทรัพยากรถูกริบ โบราณวัตถุถูกอธิบายในลักษณะงมงายไร้อารยธรรม


หนังสือเล่มนี้อธิบายการจัดการกับโบราณวัตถุเพื่อตัดสินใจจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ระดับโลกมากมายหลายยุคโดยเฉพาะเมื่อยุโรปเข้าสู่ยุคล่าอาณานิคม ผู้พ่ายแพ้ไม่มีปากไม่มีเสียง การจัดแสดงโบราณวัตถุที่ริบได้มีเป้าหมายเพื่อประกาศชัยชนะและเรียกคะแนนความเป็นชาตินิยมโดยไม่สนใจความรู้สึกของอารยชนเหล่านั้นแต่อย่างใด 

พิพิธภัณฑ์ที่เขียนในนี้จัดการกับโบราณวัตถุของประเทศใต้อาณานิคมอย่างสนุกสนาน เช่น แอฟริกาตะวันตกหลายชาติ อินเดียนแดงเผ่าต่างๆ ในอเมริกาใต้ แม้หนังสือจะไม่ได้พูดถึงกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่คิดว่าไม่พ้นชะตากรรมเดียวกัน พวกที่เรียกตนเป็นอารยชนแม้จะพบโบราณวัตถุทางอารยธรรมร่วมสมัยของตนเองที่ไม่ทัดเทียมเท่าอารยธรรมของบางกลุ่มเหล่านี้ ก็ทำเป็นเมินเฉยไม่รับรอง ไม่ให้คุณค่า เป็นต้น

แต่เมื่อผู้คนในยุคต่อมาเปลี่ยนไป ความเป็นวิทยาศาสตร์เข้ามาผสมกับการกำหนดคุณค่าของอารยธรรมและมนุษยธรรม ทำให้เกิดการโจมตี วิจารณ์และกดดันจนพิพิธภัณฑ์เหล่านั้นจำเป็นต้องปรับปรุงวิธีการจัดแสดงโบราณวัตถุและคำอธิบายเพื่อให้ถูกต้องโดยปราศจากวาระซ่อนเร้นทางความเหลื่อมล้ำ 

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหประชาติกดดันให้ประเทศเจ้าอาณานิยมปลดปล่อยประเทศที่ถูกล่า และความเสียหายทำให้ประเทศเจ้าอาณานิคมยอมจำนนเพราะไม่มีงบประมาณทางทหารไปดูแลถึงประเทศที่ถูกล่า ต่อมาเริ่มมีการเรียกร้องให้ส่งคืนโบราณวัตถุจากพิพิธภัณฑ์หลัก อย่างไรก็ตามเป็นการยากที่จะตัดสินใจกับโบราณวัตถุระดับล้านๆ ชิ้นว่าชิ้นไหนยึดมาโดยกำลังซึ่งต้องส่งคืน ชิ้นไหนซื้อมาอย่างถูกต้องด้วยราคาสูง ชิ้นไหนอยากส่งคืนแต่ก็ไม่รู้ใครควรจะได้รับไป เป็นความซับซ้อนของการจัดการซึ่งหนังสือเล่มนี้เขียนออกมาได้น่าปวดหัวจริงๆ

บางชิ้นเคยเป็นรูปเคารพโบราณของแอชแทค เริ่มมีคนเข้ามาทำพิธีสวดบางอย่างในพิพิธภัณฑ์ จนถึงขั้นทำพิธีกรรมทางความเชื่อจนพิพิธภัณฑ์ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ แต่ก็ปล่อยให้ประชาชนทำอย่างนั้นต่อไปตราบที่ไม่รบกวนผู้อื่น

บางแห่งต้องการส่งคืน “ซันซา” หรือหัวย่อส่วนที่เกิดจากเผ่า 2 เผ่ารบกัน ใครชนะก็ตัดหัวคู่ต่อสู้แล้วเอากะโหลกออก เหลือแต่เส้นผม นำไปต้ม ยัดทรายร้อน เย็บตาและปาก ปั้นให้เป็นทรงหัวที่มีผมยาว นำมาห้อยคอแสดงชัยชนะ เมื่อเห็นชาวตะวันตกก็รีบเสนอขายได้เงินมากมาย ต่อมาเมื่อมิชชันนารีมาประกาศกับเผ่าทั้งสอง ทั้งหมดกลายมาเป็นคริสเตียน พิพิธภัณฑ์ต้องการส่งคืนหัวย่อส่วนมากมายซึ่งเป็นของเผ่าไหนตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้แล้ว สมาคมสองเผ่าก็ปฏิเสธไม่รับเพราะหัวย่อส่วนเป็นเครื่องหมายของความแตกแยกของสองเผ่า และเป็นร่องรอยอารยธรรมก่อนเป็นคริสเตียนที่เขาไม่อยากจำ เป็นต้น

"ยังมีเรื่องราวน่าอ่านอีกมากมายในหนังสือเล่มนี้"

พิพิธภัณฑ์แห่งอนาคตมีเรื่องให้ขบคิดมากมาย เพราะการจัดแสดงโบราณวัตถุจะหนีประเด็นความงดงามของอารยธรรมและความแตกแยกไม่พ้น เหมือนที่วอลเตอร์ เบนจามินกล่าวไว้ "ไม่มีเอกสารบันทึกเรื่องราวอารยธรรมชิ้นใดที่ไม่ใช่เอกสารบันทึกเรื่องราวของความป่าเถื่อนในเวลาเดียวกัน"

"พิพิธภัณฑ์แห่งผู้เป็นอื่น" เขียนโดย อดัม คูเปอร์ หนังสือใหม่ปี 2567 ความหนา 560 หน้า ระดับความยาก: ปานกลางถึงยาก เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบศึกษาประเด็นการจัดการความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรมในระดับสังคม อาจจะไม่เหมาะกับทุกคนนะครับ ใครสนใจก็หามาอ่านครับ

ความคิดเห็น