เวลาพูดถึงการเรียนพระคัมภีร์ในสถาบันพระคริสต์ธรรม บางคนมีภาพหลายภาพในหัว เช่น การบ้านเยอะ ต้องจริงจังเบอร์ไหน อาจารย์ต้องดูคงแก่เรียน เคร่งครัดในกฎระเบียบ สมัครทีก็เหมือนไปเกณฑ์ทหารหรือออกรบอะไรประมาณนั้น ดูเครียดนะครับ
อย่างไรก็ตามความตั้งใจในการศึกษาพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่ดีเยี่ยมในชีวิตคริสเตียน ควรมีช่วงเวลาที่เราคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังและลงเรียนจนจบสักหลักสูตร
การเรียนพระคัมภีร์ในสถาบันพระคริสตธรรมก็จริงจังหล่ะครับ แต่อย่าเครียดเลยเพราะความเข้าใจในพระคัมภีร์จะทำให้เราเป็นไทย มีเสรีภาพในพระคริสต์ และมีความสุขนะ
วิธีภาคปฏิบัติที่จะช่วยเราให้เรียนพระคัมภีร์แบบไม่เครียด ทำอย่างไร?
1. อ่านหนังสือจนเป็นนิสัย
ผมคิดว่าการศึกษาก็คือการศึกษา จะเล่นๆ คงไม่ได้ หนุนใจคนที่ตั้งใจจะเรียนพระคัมภีร์ให้อ่านพระคัมภีร์และหนังสือต่างๆ จนเป็นนิสัย อาจจะเริ่มจากหนังสือที่เรารักที่เราสนใจ จากนั้นลองเขียนรีวิวหนังสือเพื่อเป็นการทบทวนสักหน่อย ทำให้ชิน เวลาเราเรียนพระคัมภีร์จะสบายๆ ไม่เครียด ตั้งเป้าอ่านสักเดือนละ 1 เล่ม เมื่อถึงเวลาเรียนจริง ครูให้อ่านหนังสือเราจะไม่รู้สึกเครียด และสำคัญที่สุดคือใจที่รักการอ่านพระคัมภีร์ ทุกอย่างเริ่มจากใจก่อน ถ้าใจเราเห็นคุณค่าพระวจนะ เราจะไม่มีปัญหาในการอ่านพระคัมภีร์เลย
สดุดี 119:97 โอ ข้าพระองค์รักธรรมบัญญัติของพระองค์จริงๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์เสมอ
2. ฝึกบริหารเวลาให้ชิน
สมัยนี้มีเครื่องมือมากมาย ผมแนะนำ Google Products พวกปฏิทิน, Keep, Google Form วิธีง่ายๆ คือ กำหนด Deadline ทุกกิจกรรม แล้วใส่ลงในปฏิทิน จากนั้นดูว่างานนั้นๆ ต้องใช้เวลานานเท่าไร แล้วมากำหนดวันล่วงหน้า เช่น กำหนดวันสมัครเรียน แล้วดูว่าต้องเตรียมเอกสารอะไร ต้องเขียนอะไร กรอกอะไร จากนั้นกำหนดวันก่อนหน้านั้นว่าต้องเตรียมเอกสาร เป็นต้น เวลาเรียนจริงใช้ปฏิทินกำหนดวันส่งรายการ แล้วย้อนหลังดูว่าจะทำวันไหน แบบนี้ก็สบายหล่ะครับ ทำงานเสร็จพร้อมส่งแน่นอน อย่าลืมตระหนักว่าพระจ้าทรงครอบครองอยู่เหนือแผนงานทั้งสิ้นของเรา ให้เรายืดหยุดปรับเปลี่ยนได้ตามพระประสงค์พระเจ้า
สุภาษิต 16:3 จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระยาห์เวห์ แล้วแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนา
สดุดี 90:12 ขอทรงสอนข้าพระองค์ทั้งหลายให้นับวันของตน เพื่อพวกข้าพระองค์จะมีจิตใจที่มีปัญญา
3. อ่าน ฟัง คิด ถาม และอภิปราย
ทั้งหมดเป็นเซ็ตของตัวช่วยเรื่องการเรียนรู้ ไม่อ่านไม่ฟังก็ไม่รู้เรื่อง ไม่คิดก็เสียดายความรู้ ไม่ถามก็เสียโอกาส อุตส่าห์เจออาจารย์เก่งๆ แล้ว และไม่อภิปรายความรู้ก็ไม่ได้ถ่ายทอดให้ผู้อื่น จริงๆ เรียนทุกอย่างก็ควรทำให้หมด แล้วการเรียนจะสนุกมากเลยครับ
ฟีลิปปี 4:8-9 สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย ขอจงใคร่ครวญดูสิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ควรแก่การสรรเสริญ รวมทั้งถ้ามีสิ่งใดที่ยอดเยี่ยม สิ่งใดที่น่ายกย่อง และพวกท่านจงปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านเรียนรู้ รับไว้ ได้ยิน และได้เห็นในข้าพเจ้า แล้วพระเจ้าผู้ประทานสันติสุขจะสถิตกับพวกท่าน
2 ทิโมธี 2:2 จงมอบคำสอนเหล่านั้นซึ่งท่านได้ยินจากข้าพเจ้าต่อหน้าพยานหลายๆ คนไว้กับบรรดาคนซื่อสัตย์ที่สามารถสอนคนอื่นได้ด้วย
4. หาเพื่อนร่วมชั้น
สำคัญนะครับ เพื่อนจะช่วยกันหนุนใจ ผลักดัน เสริมสร้างกัน อาจจะมีชีทมาแบ่งปัน หรือข่าวสารที่ดีๆ ฉะนั้นเวลาเรียนพระคัมภีร์ ยิ้ม เป็นมิตรกับเพื่อนๆ หน่อย เขาชวนไปทานข้าวก็ไป ชวนเข้ากลุ่มไลน์ก็เข้า พอจบแล้วเราจะมีเพื่อนที่รักกันสนับสนุนกันเสมอครับ
สุภาษิต 27:10 อย่าทอดทิ้งเพื่อนของเจ้า และเพื่อนของบิดาเจ้า และอย่าไปที่บ้านพี่น้องของเจ้าในวันที่เจ้าพบความหายนะ เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ดีกว่าพี่น้องที่อยู่ไกล
สุภาษิต 27:17 เหล็กลับเหล็กให้คมได้ฉันใด คนหนึ่งก็ลับเพื่อนของตนให้เฉียบแหลมได้ฉันนั้น
5. รับใช้พระเจ้าอย่าให้ขาด
ความรู้พระคัมภีร์จะสะท้อนออกเป็นการรับใช้เสมอ อย่าเกี่ยงงานเพราะเรียนหนัก จัดเวลาให้ดี หมายถึงจัดให้งานรับใช้อย่าให้ขาด หนักบ้างเบาบ้างก็อย่าหยุดรับใช้ ประกาศเป็นพยานออกไป เลี้ยงดูแกะ ไปโบสถ์ ไปกลุ่มสร้างชีวิต ทำให้ครบถ้วน กุญแจคือการจัดเวลาเท่านั้น
2 ทิโมธี 4:5 แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคงทุกเรื่อง จงอดทนต่อความทุกข์ยาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงทำพันธกิจของท่านให้ครบบริบูรณ์
6. ส่งสัญญาณบวกให้คนรอบข้าง
เวลาเรียนพระคัมภีร์ อย่าบ่น อย่าทิ้งความสัมพันธ์ ให้เราคิดให้ดีว่าจริงๆ แล้วการรู้พระคัมภีร์เป็นพรต่อตัวเองและคนรอบข้าง ถ้าจะเป็นพรก็อย่าส่งสัญญาณ toxic ให้เราตัดสินใจให้ดีแล้วขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสถานการณ์ คนที่คิดบวกจะส่งสัญญาณบวก บวกคือ positive นะครับ ไม่ใช่ให้ไปรบกับใคร
ฟีลิปปี 2:13-14 เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงทำการอยู่ภายในพวกท่าน ให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์ จงทำทุกสิ่งโดยปราศจากการบ่นและการทุ่มเถียงกัน
เป้าหมายของการเรียนพระคัมภีร์คือการทำความเข้าใจศาสนศาสตร์จนกระทั่งพบความสมดุลระหว่างความรู้ ความรัก และความเชื่อ
มัทธิว 22:37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า “ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’ และด้วยสุดความคิดของท่าน
ลองทำตามนี้นะครับ แล้วคุณจะพบว่า แม้จะเรียนหนักหรือเหนื่อย คุณจะไม่ท้อแน่นอน ขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องที่คิดจะเรียนและคนที่กำลังเรียนให้ทำได้ดังความตั้งใจ ตามการทรงเรียกของพระเจ้าครับ
อ้างอิง
[1] Horton, David. (2018). The Portable Seminary: A Master's Level Overview in One Volume. MI: Baker Publishing Group.
[2] Granz, Stanley J. and Olsen Roger E. (1996). Who Needs Theology?: An Invitation to the Study of God. IVP.
ความคิดเห็น