หนังสือคริสเตียนยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคริสเตียนไหม?

ย้อนกลับไปในยุค 90 สมัยอินเตอร์เน็ตยังไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่เฉกเช่นทุกวันนี้ คริสเตียนที่เพิ่งมารู้จักพระเจ้าจะมีความตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ซื้อพระคัมภีร์เล่มโตเป็นของตัวเองหลังจากที่ได้รับพระคัมภีร์ฟรีฉบับกีเดี้ยนจากคริสตจักรหรือจากแหล่งอื่นมา ผมก็เป็นแบบนั้น พระคัมภีร์เล่มโตหนา 1,700 หน้า สร้างความสะพรึงและประทับใจอย่างประหลาด มีแบบขอบแดง และขอบขาวที่เล่มโตหน่อย แต่ดูสะอาดสะอ้านกว่า ผมมีทั้ง 2 เล่ม จากนั้นผมก็ตามหาพระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษนำเข้า เล่มละหลักพันต้นๆ และหนังสือที่อยากอ่านมากมาย เช่น ศาสนศาสตร์อย่างเป็นระบบ หนังสืออธิบายพระคัมภีร์ 66 เล่ม ผมมีทุกเล่มครบ ภูมิใจที่มีในครอบครอง จากนั้นซื้อเทปเพลงนมัสการนำเข้าของ YWAM และ Integrity Music ไปฟัง เป็นเสน่ห์ของร้านหนังสือคริสเตียนสำหรับผมในสมัยนั้น


แล้วยุคนี้อะไรเปลี่ยนไป อะไรไม่เปลี่ยน?

สิ่งที่เปลี่ยนไป

1.อินเตอร์เน็ตกลายเป็นแหล่งข้อมูลทดแทน

อินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาททำให้สามารถเข้าถึงเนื้อหามากมายแบบย่อยง่ายและฟรี แหล่งข้อมูลจะหลากหลายทั้งปลอดภัย ไม่รู้ที่มา ไปจนถึงมีอันตรายต่อหลักข้อเชื่อในการดำเนินชีวิตคริสเตียน แต่ความง่ายและฟรีทำให้คนมากมายเลือกที่จะไม่จ่ายสำหรับหนังสือคริสเตียนแบบเล่ม เพราะคิดว่าแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอต่อการดำเนินชีวิต

ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตทดแทนข้อมูลจากร้านหนังสือคริสเตียนอย่างไร?

  • พระคัมภีร์ ถูกทดแทนด้วยแอป YouVersion, โปรแกรมคอมพิวเตอร์ The Word
  • หนังสือ ถูกทดแทนด้วย Facebook, Medium, Blockdit รวมไปถึง pdf ที่ถูกส่งไปมาในโลกออนไลน์
  • เทป ซีดีเพลง และเทปคำเทศนา ถูกทดแทนด้วย YouTube
  • หนังสือเพลง ถูกทดแทนด้วย เวปต่างๆ ที่โหลดเนื้อเพลงฟรี

Top 10 ช่อง YouTube หลักของคริสเตียนไทยเรียงตามยอด Subscription (ข้อมูล 11/10/2022)

2. หนังสือคริสเตียนที่เป็นกระดาษแม้ยังมีเสน่ห์แต่การเข้าถึงก็ยากขึ้น

เพราะร้านหนังสือคริสเตียนไม่ได้เปิดมากมายเหมือนร้านหนังสือตามห้างสรรพสินค้าที่เต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายน่าสนใจหลายหมวด การที่ร้านหนังสือไม่สามารถเปิดสาขาได้มากเพราะกำไรน้อย ประกอบกับขนาดของตลาดคริสเตียนที่บริโภคหนังสือไม่มีมูลค่าสูงในเชิงเศรษฐกิจ

3. หนังสือคริสเตียนถูกใช้ในงานวิชาการมากขึ้น

แทนที่จะเป็นหนังสือฝากของขวัญตามเทศกาลและประกอบการสอน กลายเป็นการซื้อหนักไปทางใช้ประกอบการสอนในสถาบันพระคริสตธรรม มีการซื้อหนังสือวิชาการเข้าห้องสมุด บางเล่มที่เลิกผลิตไปก็ถูกทำสำเนาโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือแม้จะขออนุญาตแต่ไม่เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ คือขอทำสำเนาฟรีเป็นการถวายช่วยกัน ฉะนั้นการซื้อยิ่งน้อยลงและตลาดยิ่งแคบลงอีก


แต่ก็มีสิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ

1.ความหิวกระหายอยากรู้จักพระเจ้าของคริสเตียนยังคงอยู่

เราพบว่าคริสเตียนแสวงหาความรู้ทางสื่ออินเตอร์เน็ตผ่านรายการต่างๆ ทาง YouTube รายการสดต่างๆ คำเทศนาย้อนหลัง TikTok Podcast แม้การเข้าถึงอาจจะสั้นเกินไปที่จะซึมซับข้อมูลมากมายในประเด็นต่างๆ ได้

รายการสดออนไลน์ Share the Love Forward ที่มีผู้เข้าชมสูงสุด

2. หนังสือยังคงเป็นที่ต้องการแม้รูปแบบอาจเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนไป

โดยเฉพาะสถาบันพระคริสตธรรมที่มีการเรียนการสอนพระคัมภีร์อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง (รวมถึงคริสตจักรที่มีการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบด้วย) บางสถาบันเริ่มมีระบบออนไลน์คู่ไปกับการนั่งเรียนแบบตัวต่อตัว โอกาสของหนังสือที่เป็น e-book ย่อมชัดเจนขึ้น ข้อมูลปี 2008 ถึง 2010 ตลาด e-book ที่อเมริกาเติบโตมากถึง 1,250% (Anagnos, 2018) จึงเป็นไปได้มากที่หนังสือที่ช่วยสนับสนุนแต่ละวิชาตามโครงร่างหลักสูตรของสถาบันพระคริสตธรรมจะเป็นโอกาสที่ดีของร้านหนังสือและผู้ผลิตหนังสือคริสเตียน ทั้งหนังสือที่เป็นรูปเล่มและ e-book เพราะหนังสือยังคงเป็นที่ต้องการแม้รูปแบบอาจเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนไป

ข้อสรุปของผมคือหนังสือคริสเตียนยังคงมีความจำเป็นแน่นอน แต่รูปแบบอาจมีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น

1.ทบทวนหมวดบางหมวดเพื่อเน้นในการผลิตเป็นรูปเล่มและ e-book

ผู้ผลิตหนังสือคริสเตียนและร้านหนังสือควรพิจารณารูปแบบเพิ่มเติมโดยเฉพาะ e-book การพิจารณาพิมพ์ในหมวดที่ควรเน้นตามความต้องการของตลาดประกอบด้วย การหารายได้เสริมจากสินค้าข้างเคียง พยายามทำงานใกล้ชิดกับสถาบันพระคริสตธรรมและคริสตจักรเพื่อเข้าใจจังหวะการเติบโตและป้อนหนังสือให้ตรงตามความต้องการ

2. วิธีการกระจายสินค้าที่เปลี่ยนไป

พยายามใช้ช่องทางที่ประหยัดและครอบคลุม เช่น platform การขายออนไลน์ การออกร้านในการประชุมคริสเตียนต่างๆ ขณะเดียวกันสายส่ง (wholesalers) เป็นกำลังสำคัญในการลำเลียงหนังสือไปสู่ผู้บริโภคทั่วประเทศ ส่วนลดร้านค้าจำเป็นต้องพิจารณาเพื่อให้เกิดกำไรในการขายต่อด้วย โดยทั่วไปหนังสือคริสเตียนที่ขายต่อสายส่งจะให้ผู้ซื้อส่งมีกำไรอย่างน้อย 40% ซึ่งไม่มากเมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายอื่นๆ เข้าไปด้วย สายส่งสุดท้ายอาจมีกำไรเพียง 3–5% (Laube, 2021) การขายตรงของผู้ผลิตผ่านช่องทางต่างๆ ต้องรักษาสมดุลกับสายส่งด้วยไม่ให้ตัดโอกาสกัน

3. การประชาสัมพันธ์แบบใหม่และประคับประคอง

ใช้ช่องทางออนไลน์ตามที่ผู้บริโภคเข้าถึง ประชาสัมพันธ์เจาะจงในหนังสือแต่ละเล่ม เช่น การจัดเปิดตัวออนไลน์ หรือในงานพิเศษ โดยให้ผู้เขียนและอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาบรรยายในหัวข้อหนังสือนั้นๆ และแน่นอนหากสามารถทำเป็นคลิปเพื่อสนับสนุนสายส่งได้ย่อมทำให้การขายโดยรวมคล่องตัวขึ้นอีก

ท้ายสุดคริสเตียนทุกคนควรให้การสนับสนุนซื้อหนังสือคริสเตียนอย่างเต็มที่เพื่อให้พันธกิจหนังสือคริสเตียนอย่างน้อยประคองตัวได้หรือขนาดมีกำไรพอควร (ซึ่งปกติก็ไม่ได้มุ่งกำไรอยู่แล้ว) เพื่อเขาจะมีกำลังใจในการผลิตงานคุณภาพออกมาเพิ่มเติมเสริมสร้างความเข้าใจและความเติบโตในชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราทุกคน

อ้างอิง

  • Anagnos, C. (2018). Why e-book sales are Suddenly falling: Chloe Anagnos.
  • Laube, S. (2021). Bookstore Economics 101. Steve Laube.
  • Wang, Jennie. (2021). The Future of Print Books and Bookstores. Michigan Journal of Economics.

ความคิดเห็น