ท่ามกลางสถานการณ์ที่เร่งรีบในปัจจุบันทำให้บางทีสมาชิกในครอบครัวมีโอกาสพูดคุยกันน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารก้าวหน้าไปอย่างมาก และสมาร์ทโฟนกลายเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสาร แต่ในทางกลับกันก็สร้างความเร่งรีบในชีวิตแต่ละคนมากเข้าไปอีก
หนังสือ “My Brain Has too Many Tabs Open ชีวิตเราเปิดแท็บมากไปหรือเปล่า” โดย Tanya Goodin พูดถึงเทรน Technoference คือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีจะเข้ามารบกวนความสัมพันธ์จนเกิดช่องว่างในความสัมพันธ์ระหว่างกัน ลองนึกภาพตัวเราเองที่เป็นพ่อแม่กำลังดูมือถือนานๆ “คุณรู้ไหมเวลาลูกคุณจ้องคุณ คุณเหมือนอยู่ในฟองสบู่ที่ยากที่จะเจาะเข้าไปได้”พ่อแม่จำเป็นต้องเข้ามาดูแลจัดการในเรื่องนี้ เพราะหากเราปล่อยไปโดยขาดความตระหนักในเรื่องเวลา ทุกอย่างก็จะไปตามสภาพ เมื่อลูกโตขึ้นผ่านวัยเด็กสู่วัยรุ่น ประสบการณ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกอาจจะห่างออกจากกันไปเรื่อยๆ จนอาจจะยากที่จะกลับมา Connect กันได้เหมือนเดิม
Connect อย่างเป็นธรรมชาติ
ทั้งหมดต้องทำอย่างต่อเนื่องเป็นประจำตั้งแต่ลูกเป็นเด็กเล็กจนเป็นวัยรุ่น หากเรายังไม่ได้เริ่ม อย่าผัดวันประกันพรุ่ง คุยกันแล้วตัดสินใจเริ่มเลย
1) อธิษฐานเผื่อลูก
ก่อนลงจากรถเมื่อไปส่งถึงโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ก่อนเข้านอน หรือเมื่อมีเรื่องที่ควรอธิษฐานเผื่อลูก ก็ให้อธิษฐานด้วยกันเสมอ บางทีอาจเป็นเรื่องเพื่อน การเรียน หรือแม้แต่ความยากลำบากในการปรับตัวบางอย่างของลูก
2) เฝ้าเดี่ยวร่วมกัน
ตกลงตารางเวลาร่วมกันเป็นประจำ รักษาเวลา ใช้เวลาพอเหมาะพอควรไม่ให้ยืดยาวเกินไป นมัสการ แบ่งปันพระคัมภีร์อย่างมีชีวิตชีวา สนุกสนานเฮฮา ลึกซึ้งกินใจ แล้วแต่บริบทพระคัมภีร์
3) นั่งรับประทานอาหารด้วยกันในครอบครัว
ตั้งกติกาไม่ดูมือถือ หรือลดการดูมือถือ คุยกันทุกเรื่องได้ เริ่มในเรื่องที่ลูกสนใจก่อนเพื่อเปิดใจให้ฟังเรื่องของเรา จนเกิดการแลกเปลี่ยนความเห็นกัน
4) เข้าร่วมกิจกรรมในคริสตจักร
ให้ลูกมีส่วนในการรับใช้ในกลุ่มของเขาเอง พ่อแม่คอยสนับสนุนห่างๆ ก็พอ ลูกอาจจะเอาเรื่องในกลุ่มมาคุยหรือบ่นให้ฟัง เป็นโอกาสที่ดีที่จะแนะนำและสอนในสิ่งที่ควรทำ
5) ใช้เวลาร่วมกับสิ่งที่ลูกชอบ
การดูมือถือของลูก เขาสนุกกับเนื้อหาในนั้น ไม่ใช่ตัวเครื่องมือถือ เราอาจเข้าไปถามดู ลองเปิดใจกับสิ่งที่ลูกชอบ อาจเป็นดาราศิลปิน เพลง ของเล่นบางชิ้น เกมส์บางเกมส์ ลองให้เวลาอย่างมีคุณภาพสักช่วง ใช้โอกาสให้แง่คิดและสอนบางอย่าง
6) มีส่วนร่วมในกิจกรรมโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
ช่วยให้ลูกรู้สึกว่าเราสนใจในชีวิตเขา แม้กิจกรรมส่วนรวมนั้นจะไม่ตรงกับชั้นเรียนของลูกก็ตาม การมีส่วนในกิจกรรมโรงเรียนจะทำให้เกิดการ Connect อย่างเป็นธรรมชาติกับวิถีชีวิตของลูกในโรงเรียน พ่อแม่อาจมาช่วยงาน เข้าร่วมในบทบาทบางอย่าง หรือร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยจัดขึ้น
![]() |
การเข้ามามีส่วนในกิจกรรมของโรงเรียนลูกทำให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจที่พ่อแม่สนใจในโลกของเขา |
1) เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องดูแลปกครองลูก (1 ทิโมธี 3:4–5; 3:12)
1 ทิโมธี 3:4–5 ปกครองครอบครัวของตนได้ดี อบรมบุตร ธิดา ให้มีความนอบน้อมด้วยความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าชายคนไหนไม่รู้จักปกครองครอบครัวของตน คนนั้นจะดูแลคริสตจักรของพระเจ้าได้อย่างไร?
“ปกครอง” (προΐστημι — proistemi) หมายถึง การวางระเบียบ รักษาระเบียบ และตักเตือนเมื่อไม่อยู่ในระเบียบ เป็นเรื่องของศาสตร์และศิลป์ รู้จักยืดหยุ่นแต่ไม่ประนีประนอม
พ่อแม่จึงทำหน้าที่นี้ ที่ออกแบบระเบียบในครอบครัวและทำให้เกิดขึ้นจริงอย่างสม่ำเสมอ ให้คำชมเชยเมื่อลูกอยู่ในข้อตกลง เตือนสติหากลูกทำไม่ถูก แน่นอนข้อตกลงหรือการควบคุมต้องใช้ความรักและรู้จักยืดหยุ่น ไม่เคร่งครัดมากจนเกินไป แต่ลูกจะรู้แน่นอนว่าอะไรควรไม่ควรหากเรามีความสม่ำเสมอ
2) สุภาพ สนุกสนานเป็นกันเอง ไม่เคร่งเครียดหรือยั่วยุ (มัทธิว 5:7; 5:38–39; เอเฟซัส 4:29–31; 6:4; 1 เธสะโลนิกา 5:11)
เอเฟซัส 6:4 ส่วนท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของท่านให้เกิดโทสะ แต่จงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยการสั่งสอนและการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า
พระคัมภีร์สอนให้พ่อแม่นำลูกด้วยความเข้าใจ สั่งสอน เตือนสติ ไม่ยั่วยุ ให้ใช้ความสุภาพ รอยยิ้ม เป้าหมายคือเพื่อให้เกิดการยอมรับในหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า
มัทธิว 5:38-39 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ตาแทนตา และฟันแทนฟัน ’ ส่วนเราบอกพวกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าใครตบแก้มขวาของท่านก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย
พระเยซูหนุนใจเราให้เข้าใจถึงหัวใจของธรรมบัญญัติที่ต้องมีแก่นสำคัญคือความรักและการให้อภัย ไม่ตอบโต้ตรงไปตรงมา ลูกของเราอาจจะทำถูกทำผิกหรือไม่ถูกใจเราในบางครั้ง เราไม่จำเป็นต้องตอบโต้อย่างรุนแรงเสมอไป แต่จำเป็นต้องทำให้รู้ว่าไม่ถูกต้อง
1 เธสะโลนิกา 5:11 เพราะฉะนั้นจงหนุนใจกัน และต่างคนต่างจงเสริมสร้างกันขึ้น ตามอย่างที่พวกท่านกำลังทำอยู่นั้น
3) สื่อสารอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ (ลูกา 5:16; 9:18; 1 เธสะโลนิกา 5:17)
ลูกา 5:16 แต่พระองค์มักจะเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐาน
พระเยซูทรงสื่อสารกับพระบิดาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอด้วยการอธิษฐาน การสื่อสารด้วยการอธิษฐานจึงเป็นประเด็นที่น่าพิจารณา เพราะเรามักเน้นให้อธิษฐาน แต่แท้จริงการอธิษฐานเป็นการสื่อสาร ซึ่งเป็นสองทาง ในมุมประยุกต์การพูดคุยกับลูกก็สำคัญแต่หัวใจคือการสื่อสารกับลูกได้ หมายถึงมีการเข้าใจกันทั้งสองทาง ให้เราทำสิ่งนี้อย่างสม่ำเสมอทีละเล็กทีละน้อย
ลูกา 9:18 ขณะที่พระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ตามลำพังโดยมีสาวกทั้งหลายอยู่ใกล้ๆ พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “คนทั้งหลายพูดกันว่าเราเป็นใคร?”
พระเยซูนอกจากสื่อสารกับพระบิดาแล้ว พระองค์ยังสื่อสารกับสาวกของพระองค์ในประเด็นที่สำคัญที่สุดคือทรงตั้งคำถามที่สำคัญว่าพระองค์เป็นใคร? ซึ่งคำสารภาพของสาวกนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์หรือพระคริสต์ ในหลายโอกาสให้เราสื่อสารกับลูกในเรื่องที่มีความลึกซึ้งได้เช่นกัน
ความรักของพ่อแม่และลูกจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการ Connect กับลูกทุกวัยได้เสมอ และการ Move แรกขอให้เริ่มต้นที่คุณก่อน เพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติในครอบครัวเมื่อทุกคนรักกันและกัน ต่างก็พัฒนาขึ้นในประสบการณ์ความเข้มแข็งในความเชื่ออย่างเป็นธรรมชาติ เป็นครอบครัวที่รักพระเจ้า รับใช้พระเจ้า เป็นแบบอย่างแก่คริสตจักรตลอดจนสังคมไทยของเรา
ความคิดเห็น