วันเพ็นเทคอสต์ (Pentecost) เป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญของชาวยิวที่ฉลองกันอยู่จนถึงปัจจุบัน วันเพ็นเทคอสต์อยู่ในวันที่ 50 นับจากเทศกาลปัสกา (Passover) ชาวยิวเรียกเทศกาลเพ็นเทคอสต์นี้ว่า Shavuot (שבועות or חג השבועות) แปลว่าสัปดาห์ พระคัมภีร์ใช้คำว่า Feast of the Week หรือเทศกาลสัปดาห์ (อพยพ 34:22)
สิ่งที่น่าสนใจคือหลังจากที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์แล้ว พระองค์ทรงสั่งสอนสาวกอยู่อีก 40 วัน จากนั้นทรงประทานพระมหาบัญชา และได้กำชับให้สาวกรออยู่ก่อนเพื่อรับฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระองค์จะทรงประทานหลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ไปแล้ว (กิจการฯ 1:3–5)
กิจการของอัครทูต 1:4–5 เมื่อพระองค์ได้ทรงพำนักอยู่กับอัครทูต จึงกำชับเขามิให้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา คือพระองค์ตรัสว่า “ตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินจากเรานั่นแหละ” นั่นก็คือยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่อีกไม่นานพวกท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
![]() |
พระเยซูคริสต์ เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ |
![]() |
นกพิราบ (dove) หนึ่งในสัญลักษณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ |
ภาษาแปลกๆ ในบัพติศมาในพระวิญญาณ
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้เปรียบเทียบกิจของยอห์นที่ให้บัพติศมาในน้ำกับกิจของพระเมสสิยาห์ผู้ที่จะให้บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์
ยอห์น 1:33 ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาให้บัพติศมาด้วยน้ำ ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า 'เมื่อเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่กับคนใด คนนั้นแหละจะเป็นคนให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์'
1.เป็นหมายสำคัญของการได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการฯ 2:4; 10:46; 19:6)
กิจการของอัครทูต 2:4 พวกเขาทั้งหมดก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงเริ่มต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงให้พูด
กิจการของอัครทูต 19:6 เมื่อเปาโลวางมือบนตัวพวกเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับพวกเขา พวกเขาจึงพูดภาษาแปลกๆ และเผยพระวจนะ
2. เป็นภาษาที่มีความหมายถึงเรื่องราวพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ผู้พูดอาจไม่เข้าใจความหมาย (กิจการฯ 2:6, 11; 1 โครินธ์ 14:13–14)
กิจการของอัครทูต 2:11 ซึ่งมีทั้งพวกยิวกับพวกที่เข้าจารีตยิว และเป็นชาวครีตและชาวอาระเบีย เราต่างได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึงกิจการที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในภาษาของเราเอง
1 โครินธ์ 14:13–14 ฉะนั้นคนที่พูดภาษาแปลกๆ ก็ควรอธิษฐานขอให้แปลได้ด้ว เพราะถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานเป็นภาษาแปลกๆ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าอธิษฐานก็จริง แต่ความคิดก็ไม่เป็นประโยชน์
3. เป็นประโยชน์ต่อผู้พูดเพราะพูดต่อพระเจ้าในความล้ำลึกโดยพระวิญญาณ ทำให้ผู้พูดจำเริญขึ้นเป็นการส่วนตัว (1 โครินธ์ 14:2–3)
1 โครินธ์ 14:2–3 เพราะว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้น ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจได้ เขาพูดเป็นความล้ำลึกโดยพระวิญญาณ แต่ผู้ที่เผยพระวจนะนั้น พูดกับมนุษย์เพื่อให้เจริญขึ้น ให้มีการชูใจและการปลอบใจ
4. ไม่มีประโยชน์ในเชิงความหมายต่อผู้ที่ยังไม่เชื่อที่เข้ามาประชุมในคริสตจักรหากไม่ได้เป็นภาษาของเขา (1 โครินธ์ 14:22)
1 โครินธ์ 14:22 ฉะนั้นการพูดภาษาแปลกๆ จึงไม่เป็นหมายสำคัญสำหรับพวกที่เชื่อ แต่สำหรับพวกที่ไม่เชื่อ แต่การเผยพระวจนะนั้น ไม่ใช่สำหรับพวกที่ไม่เชื่อ แต่สำหรับพวกที่เชื่อแล้ว
5. ไม่มีการห้ามพูดภาษาแปลกๆ ในที่ประชุม แต่ต้องไม่ทำให้เกิดการสะดุดหรือวุ่นวาย (1 โครินธ์ 14:33, 39–40)
1 โครินธ์ 14:39–40 ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงขวนขวายการเผยพระวจนะ ส่วนการพูดภาษาแปลกๆ นั้นก็อย่าห้ามเลย แต่จงให้ทุกสิ่งมีความเหมาะสมและเป็นระเบียบเถิด
ข้อพึงระวังเกี่ยวกับการพูดภาษาแปลกๆ
1. การได้รับพระวิญญาณที่นำมาซึ่งการบังเกิดใหม่กับการบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถมองเป็นเรื่องเดียวกันได้ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นผู้ประทานความรอด การได้รับพระวิญญาณฯ เข้ามาในชีวิตหมายถึงประสบการณ์เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณฯ ซึ่งเป็นความหมายของการบัพติศมาในพระวิญญาณนั่นเอง (ทิตัส 3:5–6)
ทิตัส 3:5–6 พระองค์ก็ทรงช่วยเราให้รอด ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราทำเอง แต่ด้วยพระเมตตาของพระองค์โดยผ่านการชำระให้บังเกิดใหม่และสร้างใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณองค์นี้แหละที่พระเจ้าประทานให้แก่เราอย่างบริบูรณ์ผ่านทางพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา
2. ของประทานจากพระเจ้าทั้งสิ้นเป็นโดยพระคุณ ไม่ว่าเราจะมองว่าการพูดภาษาแปลกๆ เป็นหมายสำคัญ หรือของประทานการเผยพระวจนะก็ตาม ทั้งหมดล้วนมาโดยพระคุณ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ฉะนั้นการพูดหรือไม่พูดภาษาแปลกๆ จะต้องไม่ทำให้เกิดการแบ่งแยก เปรียบเทียบ เหลื่อมล้ำ หรือไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระวรกาย (เอเฟซัส 4:3, 7)
เอเฟซัส 4:3 จงพยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่มาจากพระวิญญาณนั้น โดยมีสันติภาพเป็นเครื่องผูกพัน
เอเฟซัส 4:7 แต่ว่าพระคุณนั้นประทานแก่เราแต่ละคนตามขนาดที่พระคริสต์ประทาน
3. การพูดภาษาแปลกๆ หรือไม่นั้นจะเน้นผลของการใช้ภาษาแปลกๆ ว่าทำให้คริสตจักรเจริญขึ้นหรือไม่ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์หากมุ่งแต่จะพูดโดยไม่คำนึงถึงการเสริมสร้างกันและกัน (1 โครินธ์ 14:9, 26)
1 โครินธ์ 14:9 ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น คือในการพูดภาษาแปลกๆ ถ้าท่านไม่ใช้ถ้อยคำที่เข้าใจได้ คนจะเข้าใจคำพูดนั้นได้อย่างไร? สิ่งที่ท่านพูดนั้นจะหายไปกับสายลม
1 โครินธ์ 14:26 เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายจะว่าอย่างไร? เมื่อพวกท่านมาชุมนุมกัน แต่ละคนก็มีเพลงสดุดี มีคำสอน มีคำวิวรณ์ มีการพูดภาษาแปลกๆ มีการแปลภาษาแปลกๆ จงทำทุกสิ่งเพื่อให้เขาเจริญขึ้น
4. งานรับใช้ที่สะท้อนความรักนั้นสำคัญมากกว่าการพูดภาษาแปลกๆ (1 โครินธ์ 13:1)
1 โครินธ์ 13:1 แม้ข้าพเจ้าจะพูดภาษาแปลกๆ ที่เป็นภาษามนุษย์หรือทูตสวรรค์ได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง
5. ชีวิตที่ประกอบด้วยพระวิญญาณ คือความชื่นชมยินดี ความรัก ความเชื่อฟังพระเจ้า เป็นสิ่งพระเจ้าคาดหวังจากผู้ที่มีพระวิญญาณ (เอเฟซัส 5:18–20)
เอเฟซัส 5:18–20 และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ คือร้องเพลงและสดุดีจากใจของพวกท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงขอบพระคุณพระเจ้าคือพระบิดาอยู่เสมอสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ในพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์สร้างชีวิตเราทั้งหลายให้เจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณ สะท้อนพระลักษณะพระเจ้า จนคนมากมายเห็นพระเจ้าผ่านชีวิตของเรา และเข้ามาสู่ความรอดทุกวันๆ
ความคิดเห็น