มองเขาแล้วกลับมามองที่เรา

ผมได้มีโอกาสอ่านสถิติจิตวิญญาณที่น่าสนใจเกี่ยวกับศิษยาภิบาลอเมริกาจากหลายแหล่ง โดยสรุปมีประเด็นที่น่าคิดมากมาย

สถิติจิตวิญญาณศิษยาภิบาลอเมริกา

ข้อมูลจากการสำรวจจิตวิญญาณของศิษยาภิบาลฝั่งอเมริกาประมาณ 2,000 คน สำรวจระหว่างปี 1998–2009 ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบริบทที่ส่งเสริมการรักษาจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง พบว่า

85% ของศิษยาภิบาลไม่มีวันพักสงบ หรือวันสะบาโตในจิตใจ
72% มีโอกาสศึกษาพระคัมภีร์เพียงช่วงเวลาเตรียมเทศน์หรือเตรียมสอนเป็นครั้งๆ
70% ไม่มีเพื่อนสนิทที่สามารถเปิดใจคุยกันได้
53% ของศิษยาภิบาลไม่รู้สึกว่าโรงเรียนพระคริสตธรรมเตรียมเขาอย่างดีพอในการทำงานในคริสตจักร
44% ของศิษยาภิบาลไม่มีตารางเวลาในการลาหยุดเพื่อพักผ่อน
31% ไม่ได้ออกกำลังกายเลย ขณะที่ 37% ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3–4 ครั้ง
21% ใช้เวลาน้อยกว่า 15 นาทีในการอธิษฐานต่อวัน (ค่าเฉลี่ยของการอธิษฐานของศิษยาภิบาลอยู่ที่ 39 นาที ต่อวัน)
16% รู้สึกพึงพอใจในชีวิตอธิษฐานของตน ขณะที่ 47% ยังไม่ค่อยพอใจ และ 37% รู้สึกไม่พอใจ

เราพบ 3 ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นกับผู้นำทางจิตวิญญาณดังนี้

1.ความคาดหวังของศิษยาภิบาลและคริสตจักรไม่ตรงกัน

โรงเรียนพระคัมภีร์จะเน้นการสอนพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้งเพื่อให้ศิษยาภิบาลสามารถนำไปเทศนาและสอนต่อได้อย่างถูกต้อง ความเป็นจริงคือศิษยาภิบาลที่เรียนพระคัมภีร์ในโรงเรียนพระคริสตธรรมเมื่อจบมาและเข้ามาในคริสตจักร จะพบข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น อายุน้อยกว่าคณะผู้นำหรือคณะธรรมกิจ ประสบการณ์ในการบริหารจัดการน้อยกว่าคณะมัคนายก การรู้จักสมาชิกเชิงลึกต้องใช้เวลาเพื่อพัฒนาการไว้วางใจ ทั้งหมดยากที่จะสอนได้ในโรงเรียนพระคริสตธรรม เป็นประเด็นที่ศิษยาภิบาลต้องเรียนรู้ที่จะพัฒนามุมมองของตนเองต่องานรับใช้ในคริสตจักรนั้นๆ

หลายครั้งศิษยาภิบาลอยากสอน แต่สมาชิกไม่พร้อมที่จะเรียน เมื่อความคาดหวังต่างกัน ย่อมมีสักฝ่ายผิดหวัง เรื่องนี้เป็นประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้รับใช้ในคริสตจักรไปด้วยกันเพื่อหาจุดที่ลงตัวซึ่งต้องเปิดใจและใช้เวลาพอสมควร

2. การมีเพื่อนที่สามารถเปิดใจคุยกันได้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

“หากศิษยาภิบาลวางตัวมากเกินไปในที่สุดจะไม่มีใครกล้าเข้ามาในความสัมพันธ์อย่างจริงใจ แม้แต่เพื่อนที่เรียนพระคัมภีร์มาด้วยกันก็ตาม”

ความเป็นมนุษย์คนหนึ่งสำคัญมาก ศิษยาภิบาลไม่ควรวางตัวเป็นเทพ เหมือนไม่มีอะไรต้องเรียนรู้หรือเปลี่ยนแปลง หรือจ้องแต่จะแก้ไขสิ่งผิดของคนรอบข้างมากจนเกินไป การเปิดใจ เปิดความสัมพันธ์ ความเป็นกันเอง การรู้จักแสดงความเป็น “มนุษย์” ออกมาบ้างจะทำให้คนรอบข้างไม่อึดอัดในความสัมพันธ์

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือเราพบว่าพระเยซูทรงเริ่มฝึกสาวกในฐานะลูกทีม ต่อมาทรงเรียกสาวกเป็นสหาย

ยอห์น 15:15 เราจะไม่เรียกพวกท่านว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดา เราสำแดงแก่พวกท่านแล้ว

หากสิ่งนี้เป็นเป้าหมายของการสร้างสาวก เมื่อสาวกถูกเตรียมอย่างเหมาะสมแล้ว เราไม่จำเป็นต้องวางตัวเป็นผู้นำตลอดไป เพราะเขาเติบโตเพียงพอที่จะรับแบกภาระร่วมกับเราในฐานะเพื่อนได้

การมีเพื่อนมากๆ เป็นสิ่งดีแน่นอน เพื่อนจะช่วยแนะนำด้วยความจริงใจ เป็นคนที่สนับสนุน อธิษฐานเผื่อ สังสรรค์ด้วยกัน ให้กำลังใจกัน ฯลฯ ผมคิดว่าพี่น้องในคริสตจักรพร้อมจะเข้ามาเป็นมิตรที่ดีอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับการวางตัวของศิษยาภิบาลด้วย

3. ทำงานหนักจนเสียสมดุล ร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ

หลายครั้งศิษยาภิบาลต้องการพิสูจน์ตัวโดยการทำงานหนัก ตอบสนองข้อเรียกร้องมากมายของนโยบายคริสตจักร และสมาชิก โดยขาดความตระหนักถึงความสมดุลในทุกด้านเพื่อสามารถรับใช้ในระยะยาวได้ ทำให้เกิดภาวะทำงานหนักจนเสียสมดุล ร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ ห่อเหี่ยวหมดแรง ไม่มีเวลาแม้แต่จะอธิษฐานหรือศึกษาพระคัมภีร์

เราพึงตระหนักว่า “ความปรารถนาที่จะติดตามพระคริสต์จะต้องสูงกว่าความปรารถนาความสำเร็จในงานรับใช้” มิฉะนั้นเรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางสู่ความสำเร็จที่ผิด สุดท้ายเราจะพบกับความว่างเปล่าไม่ต่างจากคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าที่บางคนมุ่งแต่งานจนสุดท้ายประสบการณ์ชีวิตก็สอนคนเราให้กลับมาแสวงหาพระเจ้าอยู่ดี

ลูกา 11:2 พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “เมื่ออธิษฐาน จงกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่

ดูเหมือนประเด็นทางจิตวิญญาณของศิษยาภิบาลจะผูกติดกับความเติบโตร่วมกันในความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องในชุมชนของพระเจ้า ศิษยาภิบาลต้องเชื่อจริงๆ ว่าพระเจ้าใช้เราให้อยู่ในชุมชน นำและสอนด้วยแบบอย่างชีวิต เข้าถึงพี่น้องไม่แยกตัว มิฉะนั้นจะยากที่จะเป็นพรต่อคริสตจักรอย่างแท้จริง คำแนะนำในภาคปฎิบัติในการเข้าส่วนผูกพันกับพี่น้องคือ พยายามเข้าหาพี่น้อง ไม่แยกตัว (ลก.19:10; กจ.15:5–6) เรียนรู้ที่จะปรับตัวอดทนต่อพี่น้อง (คส.3:14–15) เป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ (ฮบ.13:16) และขอให้ตั้งใจผูกพันตัวตลอดชีวิต (อฟ.4:13)

แหล่งอ้างอิง
(1) David Ross and Rick Blackmon’s “Soul Care for Servants” workshop reported the results of their Fuller Institute of Church Growth research study in 1991 and other surveys in 2005 and 2006.
(2) Francis A Schaeffer Institute of Church Leadership Development research studies in 1998 and 2006.
(3) Leadership Magazine’s research for their article on “Marriage Problems Pastors Face,” Fall 1992 issue.
(4) Grey Matter Research, 2005 scientific study of pastors from every city in America.
(5) Pastors at Greater Risk by H.B. London and Neil B. Wiseman, Regal Books, 2003.
(6) Focus on the Family 2009 survey of 2,000 pastors.

ความคิดเห็น