ความซับซ้อนทางการเมืองในบางเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์คริสตจักรยุคใหม่

การเมืองเป็นเรื่องการจัดการชุมชนและทรัพยาการจากอำนาจส่วนกลางที่คนมอบให้ไม่ว่าจะยินดีหรือไม่ก็ตาม การเมืองจึงรวมถึงผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งหมด ไม่ใช่หมายถึงนักการเมือง สส. หรือ สว. อย่างเดียว

สิ่งหนึ่งที่เราต้องตระหนักคือ ในพระคัมภีร์ใหม่ ผู้รับใช้ขับเคลื่อนงานพระเจ้าและดำรงวิถีชีวิตภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร มีความซับซ้อนไม่ต่างจากยุคไหนๆ ยูเดียมีการปกครองโดยกษัตริย์เฮโรด ถืออำนาจจากรัฐบาลโรมัน ส่วนภายในก็คานอำนาจกับสภาแซนเฮดริน ซึ่งประกอบไปด้วยสะดูสี ฟาริสี และธรรมาจารย์ เยรูซาเล็มยังมีผู้สำเร็จราชการจากโรมัน (เช่นปีลาตในสมัยพระเยซู) มาคานอำนาจกษัตริย์เฮโรดอีกทาง

พระเยซูกำลังถูกตัดสินให้ตรึงกางเขนโดยอำนาจของโรมัน (Ecce homo by Antonio Ciseri, 1880)

จุดยืนของคริสเตียน คือ เราไม่สามารถให้ระบอบมนุษย์ใหญ่กว่าระบอบของพระเจ้าได้

เรื่องนี้ต้องยืนยันร่วมกันก่อน มิฉะนั้นคริสเตียนคุยการเมืองกันไม่ได้ เพราะความเห็นต่างของแต่ละขั้วทางการเมืองจะไปสู่การยืนยันจุดยืนของตนเอง กลายเป็นการตั้งกำแพงสูงโดยใช่เหตุ

ความจริงในภาคปฏิบัติ คริสเตียนมีความเกี่ยวข้องกับอำนาจของการเมืองอย่างแน่นอน

ความเกี่ยวข้องอาจเป็นสเกลน้อยไปหามาก คือเกี่ยวบ้างไปจนถึงนั่งอยู่ในอำนาจเลย เรื่องที่แปลกและดูย้อนแย้งคือบางคนไม่ชอบนักการเมืองพรรคหนึ่งๆ แต่พอมีเรื่องขอความช่วยเหลือวิ่งเข้าหานักการเมืองท้องถิ่นให้ช่วย แม้ว่าเขาจะสังกัดพรรคที่ไม่ชอบก็ตาม แต่ปัญหาก็คือปัญหา ต้องวิ่งขอความช่วยเหลือจากอำนาจรัฐทางใดทางหนึ่ง หรือบางคนไม่ชอบตำรวจ ทหาร แต่พอมีความเดือดร้อน ยังไงก็ต้องพึ่งทหารตำรวจ ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกเพราะเป็นกลไกในการปกครองอยู่แล้ว ขนาดการเปิดโบสถ์ยังต้องจดทะเบียนกับเขต ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงวัฒนธรรมฯ เลย

ในประวัติศาสตร์คริสตจักรยุคใหม่ เราพบว่าการเมืองมีความสลับซับซ้อน

เหตุผลหนึ่งคือการเมืองเป็นการระวังผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บางครั้งก็ต้องทำให้ซับซ้อน พูดตรงไม่ได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาที่มีการค้าทางทะเลกับประเทศจีน ต้องส่งบรรณาการไปจิ้มก้องเพื่อได้มาซึ่งสิทธิ์ในการค้าทางทะเล ประกอบกับการรวมรวมทรัพยากรเพื่อทำการค้า ทำให้การเมืองผูกขาดไว้กับชั้นเจ้าขุนมุลนาย เป็นเหตุผลทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อการออกแบบการปกครองอย่างชัดเจน

สมัยหนึ่งอยุธยาต้องส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับอังกฤษเพื่อค้ำยันทางการเมืองในยุคล่าอาณานิคม รัชกาลที่ 4 ทรงมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ส่งพระราชโอรสไปศึกษาต่างประเทศจนมีความเข้าใจในประเทศมหาอำนาจของโลกในยุคนั้น

ความจริงปัญหาหนานชัย น้อยสุนยะ คริสเตียน 2 คนแรกที่ถูกประหารชีวิตเพราะความเชื่อในสมัย รัชกาลที่ 5 จนเป็นเหตุให้เกิดความวิตกในเรื่องความมั่นคงทางการเมืองของสยามเพราะอาจถูกใช้เป็นสาเหตุของการเข้ามายึดประเทศของอังกฤษหรือฝรั่งเศสได้

สมัยนั้นเจ้านครเชียงใหม่มีอำนาจทำตามใจหรือจะทำอะไรก็ได้ เพราะหัวเมืองเหนือเป็นประเทศราษฏร์ ยังไม่ใช่การปกครองแบบรวมศูนย์แบบในปัจจุบัน เหตุการณ์นี้และเหตุที่เจ้านครเชียงใหม่ไม่ยอมรับสนธิสัญญาบาวริ่ง ทำให้เจ้านครเชียงใหม่ถูกจัดการขั้นเด็ดขาด ริบอำนาจเข้าส่วนกลางอย่างหมดสิ้น เหลือเพียงแค่ตำแหน่งเท่านั้น

เรื่องนี้เราอาจมองได้ 2 อย่างคือ 1) ความกระด้างกระเดื่องของเจ้านครเชียงใหม่เป็นการกระทำที่สุ่มเสี่ยงในกลไกการเมืองยุคใหม่ที่มีการคานอำนาจในระดับสากล 2) พระเจ้าเป็นผู้แต่งตั้งและปลดผู้มีอำนาจ ให้เรารักษาความวางใจในพระเจ้าแม้บางครั้งเป็นสิ่งที่ยาก

ในระดับสากลมีกรณีที่คริสตจักรกับผู้มีอำนาจการเมืองไม่ลงรอยและบางกรณีกลับสนับสนุนกัน

กรณีคริสตจักรไม่ยอมรับเผด็จการทหารพม่าในช่วงที่ผ่านมา เราพบภาพศิษยาภิบาลลุกขึ้นจับปืนแทนพระคัมภีร์ ต่อต้านอำนาจทหารโดยมองว่าพระเจ้าไม่ได้ตั้งทหารพม่าเป็นผู้ปกครอง เขาเป็นผู้แย่งชิงอำนาจที่พระเจ้าแต่งตั้ง

กรณีคริสตจักรยอมรับเผด็จการทหารประเทศกีนี (Guinea) ประเทศเล็กๆ ในแอฟริกาตะวันตก ไม่นานมานี้ทหารได้ปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ศิษยาภิบาลคริสตจักรกีนีมองว่าใครขึ้นมาปกครองก็ถือว่าเป็นการแต่งตั้งจากพระเจ้าทั้งสิ้น จึงยอมรับกลุ่มปฏิวัติและรับรองถึงขนาดต้อนรับเข้ามาในโบสถ์เลย

ผู้นำทางศาสนาของกีนีประกาศรับรองเผด็จการทหาร (John Wessels / Getty Images)

การที่บอกว่าการเมืองเป็นเรื่องซับซ้อนไม่สามารถตัดสินจากเท่าที่มองเห็น เป็นสิ่งที่ถูกเลยทีเดียว

อย่าลืมว่าอะไรที่เรามองเห็นอาจจะเป็นความตั้งใจของผู้มีอำนาจให้เราเห็น และอะไรที่เรามองไม่เห็นไม่ใช่ว่าจะไม่มี การแก้ปัญหาของประเทศก็เช่นกัน ปัญหามากมาย เป็นปลายเหตุ ไม่สามารถแก้ได้ในวันเดียว

ระบอบที่ออกแบบโดย "มนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์" "ย่อมมีอะไรที่ไม่สมบูรณ์" ล้วนแต่ปกป้องประโยชน์ของตัวเอง พร้อมจะตอบโต้กับการเสียผลประโยชน์เสมอ

หากเราเตรียมใจ รู้แนวทาง คริสเตียนจะเป็นผู้เปลี่ยนสังคมไทยได้ ในมุมปฏิบัติ การเข้าสู่การเมืองของคริสเตียน ไม่ว่าเราจะเริ่มจากขั้วการเมืองใด เราต้องตระหนักว่าเป้าหมายของเราคืออยากเห็นสังคมดีขึ้นทั้งนั้น และวิธีที่ดีแล้วคือการเดินตามครรลอง เข้าพรรคการเมือง ลงสนามเลือกตั้งทุกระดับ หากเราพบคริสเตียนที่เป็นนักการเมือง ให้เราให้กำลังใจเขา ไม่ตำหนิโจมตีว่าร้าย ถ้าจะเตือนกัน ให้เตือนแบบพี่แบบน้อง ไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาต

ความคิดเห็น