"อำนาจเหนือกว่าก็รบ อำนาจต่ำกว่าก็เจรจา" หลักสำคัญที่ก่อกำเนิดอำนาจปกครองแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา

นักประวัติศาสตร์และการเมืองได้เขียนไว้ในหนังสือหลายเล่มบรรยายถึงการได้มาซึ่งอำนาจและบารมีของผู้มีอำนาจในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งอาจไปตรงกับทฤษฎีใดก็ตามของประเทศอื่น แต่สิ่งนี้เป็นการปกครองแบบไทยๆ ครับ


นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่พบว่าอาณาจักรแรกของชาวสยามคือสุพรรณภูมิ ต่อมามีศูนย์กลางอำนาจเกิดขึ้นเป็นหย่อมๆ แบบมาๆ หายๆ (illuminated States) เช่น สุโขทัย ละโว้ ทวารวดี เป็นต้น การรวมอำนาจสำคัญเกิดจากการเจรจาจนถึงดองเป็นเครือญาติกับมอญ ขอม ละโว้ และยึดชัยภูมิตั้งอยู่ที่อยุธยา ต่อมาอยุธยาได้ขึ้นไปโจมตียึดเมืองเหนือคืออาณาจักรสุโขทัยและรวบเป็นอาณาจักรอยุธยาในเวลาต่อมา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นผลผลิตที่มีเชื้อสายทั้งทางอยุธยาและสุโขทัยจึงสามารถรวบอำนาจสุโขทัยเข้ากับอยุธยาได้สำเร็จจริงๆ


การเมืองภายในอยุธยาถูกจัดระบบศูนย์กลางการปกครองไว้อย่างยอดเยี่ยมจนแม้จะเปลี่ยนหัว ตัวก็ยังสามารถทำหน้าที่ต่อไปได้อย่างสมบูรณ์ ข้าราชการมีอำนาจมากมายในเศรษฐกิจ การทหาร และการปกครอง จึงเจรจาเกี่ยวดองญาติกับกษัตริย์เพื่อรักษาฐานอำนาจของตระกูล และเมื่อบางคนอยากเจรจาแบบนั้นแต่ไม่สามารถ เมื่อประเมินอำนาจแล้วก็ก่อการปฏิวัติล้มอำนาจตั้งตัวเป็นกษัตริย์เปลี่ยนราชวงศ์ตลอดอาณาจักรอยุธยา กลายเป็นประเพณีการปกครองที่ปลูกฝังในหมู่ผู้มีอำนาจตลอดมา แม้กระทั่งราชวงศ์บ้านพลูหลวงซึ่งเดิมเป็นข้าราชการระดับสูงก็ล้มราชวงศ์ปราสาททองของสมเด็จพระนารายณ์ลง


เมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 พระเจ้าตากต้องใช้อำนาจรบและรวบรวมศูนย์อำนาจกลับมา พระยาจักรี (ต่อมาคือรัชกาลที่ 1) ได้ยกลูกสาวให้พระเจ้าตากเป็นการเจรจาและคานอำนาจในรูปแบบไทยๆ ตามปกติ ซึ่งเมื่อต้องการได้อำนาจปกครองและประเมินแล้วว่าชนะแน่นอนก็ตัดสินใจชิงอำนาจด้วยการรบและยึดเอาศูนย์กลางการปกครองสถาปนาราชวงศ์จักรีขึ้นจนถึงปัจจุบัน


ความจริงในสมัยรัชกาลที่ 5 ในด้านราชอำนาจก็ยังไม่ถือว่าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์เต็มรูปแบบ ในช่วงต้นราชการน่าจะเป็นราชาธิปไตยมากกว่า คืออำนาจยังไม่เต็มในพระองค์ เพราะต้องคานอำนาจเจรจากับข้าราชการอยู่ตลอด คือถ้าไม่ยอมก็สามารถถูกก่อการชิงราชอำนาจได้อย่างง่ายดาย จนกระทั่งกลางรัชสมัย มีการปรับศูนย์อำนาจหลายอย่าง ตั้งคนจากส่วนกลางไปปกครองตามหัวเมือง กษัตริย์สมัยนั้นจำเป็นต้องมีมเหสีมากเพราะเป็นการคาดอำนาจอย่างหนึ่งและลูกที่เกิดมาจะได้มีความเป็นเครือญาติออกไปกครองตามหัวเมืองเพื่อจะได้ไม่ทำลายกัน


อำนาจข้าราชบริพานไม่ได้หายไปเลย รัชการที่ 6 จริงๆ จะถูกปฏิวัติหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งรัชกาลที่ 7 มีความลงตัวในเงื่อนไขการปฏิวัติโดยใช้ความทันสมัยเป็นข้ออ้างคือต้องเป็นระบบประชาธิปไตยเท่านั้นจึงจะถูกต้อง จนกระทั่งราชอำนาจต้องเสียไปอยู่ในมือทหารและข้าราชบริพานแต่ด้วยบารมีของสถาบันกษัติรย์ในความรู้สึกของประชาชนทำให้การยึดอำนาจไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เกิดการเจรจาระหว่างอำนาจทหาร ประชาชน และพระมหากษัตริย์ยืดยื้อมาโดยตลอดจนถึงรัชกาลที่ 10 ในปัจจุบัน

พิธีเปิดสะพานพุทธและอนุสาวรีย์ปฐมกษัตริย์ ในเดือนเมษายน 2475 เป็นเวลา 3 เดือนก่อนการปฏิวัติของคณะราษฎร ทุกอย่างดูเรียบร้อยดี แต่คลื่นใต้น้ำนั้นกำลังโหมกระหน่ำ (บันทึกของทูตญี่ปุ่น ผู้เห็นเหตุการณ์ปฏิวัติ 2475)


การได้มาซึ่งอำนาจปกครองที่ฝังรากมาในสังคมบ้านเราทำให้เราคาดเดาต่อได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับม็อบในครั้งนี้ ม็อบกำลังท้าทายอำนาจด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตย แต่อย่าลืมว่าผู้ปกครองตัวจริงไม่ใช่ม็อบ แต่คือกลุ่ม สส. ที่สนับสนุนม็อบผู้จะได้รับประโยชน์จากม็อบอย่างแน่นอน หากผู้นำม็อบอยากได้อำนาจด้วยต้องลงมาเลือกตั้ง ซึ่งจะถูกขัดขวางจากกลุ่มอำนาจเดิมหรือไม่ก็ต้องเจรจากับ สส. เพื่อได้ร่วมในอำนาจ


ถ้ามองมุมของอำนาจในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา "อำนาจเหนือกว่าก็รบ อำนาจต่ำกว่าก็เจรจา" อนิจจังครับ


"อย่าเพิ่งไปมีอารมณ์รุนแรงหรืออ้างอุดมการณ์สุดขั้วข้างใดข้างหนึ่งโดยไม่ลืมหูลืมตาครับ อย่าไปฟังปราศัย อ่านบทความโซเชี่ยลเพียง 2-3 เรื่อง หรือฟังความเชื่อของเน็ตไอดอล แล้วเอามาเป็นอารมณ์หรือมั่นใจในความมีอุดมการณ์ของตัวเอง ขอให้ลองกลับมาอ่านหนังสือในหมวดประวัติศาสตร์และการเมืองหลายๆ เล่มก่อน คุณจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ได้ดีขึ้นครับ"


เริ่มจาก 3 เล่มนี้ก่อนก็ดีครับ

1. คริส เบเคอร์, ผาสุก พงษ์ไพจิตร. ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย: กะเทาะเปลือกประเทศไทยรอบด้านจากอดีตจนถึงปัจจุบัน.

2. ศราวุฒิ วิสาพรม. ราษฎรสามัญหลังวันปฏิวัติ ๒๔๗๕.

3. เอนก มากอนันต์. จักรพรรดิราช: คติอำนาจเบื้องหลังชนชั้นนำไทย.


"ขอพระเจ้าอวยพรประเทศไทยครับ"

ความคิดเห็น