แดนผู้ตายหรือเฮดีส (Hades) ได้ถูกอธิบายในอุปมาเรื่องเศรษฐีและลาซาลัสอย่างละเอียดเพื่อให้เห็นถึงความทุกข์ทรมานของเศรษฐีหลังความตาย แต่เรื่องนี้เป็นอุปมาที่พระเยซูใช้เพื่อสอนให้ชาวยิวรู้จักความเมตตาเห็นอกเห็นใจกันในฐานะพี่น้อง ไม่ได้เน้นเรื่องศาสนศาสตร์วาระสุดท้าย (Eschatology) แม้จะมีเรื่องเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายไว้ก็ตาม (Ladd 1993, 194-195)
1. แนวคิดของเฮดีส (Hades) หรือแดนผู้ตาย สถานที่ในอุปมาเรื่องเศรษฐีและลาซาลัส เป็นแนวคิดที่พระเยซูนำเรื่องเล่าจากงานเขียนของกรีกโรม (Greeco-Roman Writings) ที่มีชื่อเสียงในสมัยของพระองค์มาประยุกต์เพื่อให้คนในสมัยนั้นคุ้นเคย
รายละเอียดของแดนผู้ตายได้อธิบายไว้ในงานเขียนที่หลากหลาย ได้แก่ เรื่องราวของเทพเจ้าเสท (Setme) ของอียิปต์, เรื่องราวของเออร์ (Er) ที่เล่าในสมัยเพลโต (Plato), เรื่องของอริเดอูส (Aridaeus) โดย พลูทาร์ช (Plutarch), งานเขียนของลูเซี่ยน (Lucian) เช่น คาทาพลัส (Cataplus) ไมซิลลัส (Micyllus), บทสนทนาของผู้ตาย (Dialogues of the Dead) โดยพูลลักซ์ (Pollux), และเมนิปปัส (Menippus) (Snodgrass 2008, 422-423, 426-427)
สอดคล้องกับแนวคิดของ George E. Ladd ระบุว่าพระเยซูใช้นิทานพื้นบ้านที่เป็นที่นิยม (Contemporary folk-material) เพื่อสื่อสารความจริงที่สอดแทรกในอุปมาเรื่องนี้ (Ladd 1993, 195)
2. "ถ้ามีใครสักคนหนึ่งจากพวกคนตายไปหาพวกเขา เขาคงจะกลับใจใหม่" ไม่ใช่แนวคิดการเป็นขึ้นจากความตายในความคิดของพระคัมภีร์ แต่เป็นการเล่าเรื่องให้ต่อเนื่องลงตัวในลักษณะเรื่องเล่าในอุปมา
ลูกา 16:30 เศรษฐีคนนั้นจึงกล่าวว่า ‘ไม่ได้ อับราฮัมบิดาเจ้าข้า แต่ถ้ามีใครสักคนหนึ่งจากพวกคนตายไปหาพวกเขา เขาคงจะกลับใจใหม่’
ภาษากรีกคำว่า "ไป" ใช้คำว่า apelthe ไม่ใช่ "ฟื้น" หรือภาษากรีก anaste
ฉะนั้นสำนวนประโยค "ถ้ามีใครสักคนหนึ่งจากพวกคนตายไปหาพวกเขา เขาคงจะกลับใจใหม่" จึงไม่ใช่แนวคิดการเป็นขึ้นจากความตาย (resurrection) แบบคริสเตียนที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ (Snodgrass 2008, 428)
3. ไม่มีมาตรฐานการพิจารณาระบุไว้ว่าเหตุใดคนหนึ่งถึงอยู่กับอับราฮัมอีกคนอยู่ในเปลวไฟทั้งที่เศรษฐีก็เรียกอับราฮัมว่าเป็นบิดา (ลูกา 16:24) (Snodgrass 2008, 428)
ในวัฒนธรรมยิวถือว่าผู้เป็นบุตรอับราฮัมจะได้รับการปลอบโยน และในพระเยซูถือว่าผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ได้รับความรอด เรื่องราวนี้ไม่เข้ามาตรฐานทั้ง 2 อย่าง จึงไม่ใช่เรื่องราวที่เกี่ยวกับเงื่อนไขการได้รับการช่วยกู้ในมุมของคริสเตียน และเรายังพบว่าเรื่องเดียวที่เศรษฐีเป็นกังวลคือการดำเนินชีวิตที่เมตตาเห็นอกเห็นใจผู้ยากไร้ อยากให้น้องชาย 5 คนของเขากลับใจจากเรื่องนี้ (ลูกา 16:25, 27, 30) ไม่ใช่กังวลเรื่องให้น้องของเขาเชื่อวางใจในพระเยซูว่าทรงเป็นพระเมสิยาห์ (Snodgrass 2008, 428)
ฉะนั้นเรื่องราวในอุปมานี้จึงเน้นที่ชีวิตของเศรษฐีที่มั่งมีเพื่อตนเอง ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อบำรุงบำเรอความสุขโดยไม่เคยสนใจหรือแยแสคนที่ยากลำบากกว่าแม้จะนั่งอยู่ภายนอกบ้านของตน และผลของการกระทำอย่างเห็นแก่ตัวของเขาในโลกจะต้องรับผลภายหลังในโลกหลังความตาย
สำหรับผู้ชอบธรรมนั้น (ไม่ว่าจะเป็นผู้ชอบธรรมก่อนหรือหลังพระเยซูเสด็จมาครั้งแรกก็ตาม) เมื่อตายไปจนถึงก่อนการพิพากษาครั้งใหญ่ในเหตุการณ์พระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 "จะไม่ได้ไปที่เฮดีสแต่อย่างใด" แต่ไปอยู่สถานที่แห่งหนึ่งคือเมืองบรมสุขเกษม (Paradise) (ลูกา 23:43) เพื่อรอคอยสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา (อิริคสัน 2009, 1306) พระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่มีบางข้อที่ยืนยันในเรื่องนี้
สดุดี 16:10 เพราะพระองค์มิได้ทรงมอบข้าพระองค์ไว้กับแดนคนตาย หรือให้ผู้จงรักภักดีของพระองค์ต้องเห็นหลุมมรณะนั้น
(ตอนนี้แดนคนตายใช้คำว่า Sheol ซึ่งฉบับเซ็ปทัวร์จินท์และพระคัมภีร์ใหม่ภาษากรีกใช้คำว่า Hades ในความหมายเดียวกัน)มัทธิว 16:18 เราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรไม่ได้
กิจการฯ 2:31 ท่านก็ล่วงรู้เหตุการณ์นี้ก่อน จึงกล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ว่า ‘พระเจ้าไม่ทรงละพระองค์ไว้ในแดนคนตาย ทั้งพระกายของพระองค์ ก็ไม่ทรงเปื่อยเน่าไป’
ฉะนั้นสิ่งที่เราจะพูดได้ดีที่สุดให้สอดคล้องกับศาสนศาสตร์วาระสุดท้าย (Eschatology) คือสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ เมื่อตายไปเขาจะไปอยู่ ณ ดินแดนแห่งความตาย (Hades) เพื่อรอคอยการพิพากษาในวันสุดท้าย ที่นั่นเป็นที่แห่งความทุกข์ทรมาน (Grudem 2015, 1140) และไม่จำเป็นต้องให้รายละเอียดโดยยกตัวอย่างจากอุปมาชุดนี้แต่อย่างใดเพราะลักษณะสถานที่ในอุปมาเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการอธิบายสภาพของช่วงคั่นกลางระหว่างความตายกับวันที่พระเยซูเสด็จมาครั้งที่สอง (อิริคสัน 2009, 1299)
รายการอ้างอิง
[2] Ladd, George Eldon. A Theology of the New Testament, Revised Edition. MI: William B Eerdmans Publishing Co., 1993.
[3] Snodgrass Klyne R. Stories with Intent. Grand Rapids: Eerdmans Publishing Co., 2008.
[4] อีริคสัน, มิลลาร์ด เจ. ศาสนศาสตร์คริสเตียน เล่ม 2. พระคริสตธรรมกรุงเทพฯ, 2009.
ความคิดเห็น