10 คำแนะนำสำหรับพ่อแม่ที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่น

โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
นาฬิกาแห่งการเปลี่ยนแปลงจะเริ่มต้นเมื่ออายุ 12 เป็นต้นไป
ลูกของเราเมื่อเข้าสู่วัย 12 ปีขึ้นไปเขาจะพบการเปลี่ยนแปลงสำคัญทางกายภาพอย่างมากมาย ฮอร์โมนจะฉีดพล่านเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงทั้งระดับร่างกายและอารมณ์ และจะเป็นแบบนี้จนเขาก้าวสู่วัยหนุ่มสาว
เขาไม่ใช่เด็กเล็กอีกต่อไป การเลี้ยงดูจะมองเขาเป็นเด็กๆ ไม่ได้
เขายังไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่มีความนิ่งทางอารมณ์ เราจะดูเขาเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้
งานวิจัยของ George Barna (2000) ศึกษาผลกระทบด้านความเชื่อของลูกในครอบครัวคริสเตียน ผลการวิจัยระบุว่าเด็กที่เป็นสมาชิกคริสตจักร หากครอบครัวมาโบสถ์อย่างสม่ำเสมอ จะมี 61% ที่จะติดตามพระเจ้าจนโตและจะมาโบสถ์อย่างสม่ำเสมอตลอดชีวิต ขณะที่เด็กที่ครอบครัวไม่ได้สนใจพามาโบสถ์ (หมายถึงไม่ให้ความสำคัญ ไม่ผลักดัน หรือไม่สนับสนุน) จะมีเพียง 22% ที่ยังจะมาโบสถ์ต่อไป

งานวิจัยยังพบอีกว่าการสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้ที่อยู่ในวัยเด็กจะมีผลที่ดีมากต่ออนาคตในการดำเนินชีวิตในความเชื่อของเขา ลี (Lee, 1976) รายงานผลการวิจัยที่ชี้ชัดว่า 7 ปีแรกของชีวิตเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการวางรากฐานความเชื่อที่จะส่งผลต่อเขาตลอดไป ซึ่งโอกาสในช่วง 7 ปีแรกนี้ หากพ่อแม่พาเขามาโบสถ์สม่ำเสมอจนเป็นนิสัย สอนพระคัมภีร์ เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อ (FOTFS, 2011) ที่จะมีอิทธิพลต่อลูกมาก ลูกจะเติบโตขึ้นและมีแนวโน้มสูงที่จะไม่หลงออกจากทางของพระเจ้า

จิมมี่ เฮสเทอร์ (Jent 1999) ให้คำแนะนำภาคปฏิบัติสำหรับคุณพ่อคุณแม่ 10 ประการในการดูแลลูกที่อยู่ในวัยรุ่นไว้ดังนี้

1. ตระหนักว่าลูกของเราเป็นของขวัญจากพระเจ้า (สดด.127:3)

2. มอบถวาย อุทิศลูกของเราไว้ในการทรงนำของพระเจ้า ให้พระองค์ทรงนำในทุกก้าวในชีวิตเขาอย่างแท้จริง

3. ตัดสินใจเป็นการส่วนตัวต่อพระพักตร์พระเจ้าว่าจะตั้งใจดำเนินชีวิตกับพระเจ้า เป็นคริสเตียนที่เติบโตฝ่ายวิญญาณ

4. กำหนดค่านิยมฝ่ายวิญญาณในชีวิตส่วนตัว แล้วตั้งใจส่งผ่านค่านิยมนั้นในชีวิตลูก เช่น การศึกษาพระคัมภีร์ อธิษฐานจนเป็นอุปนิสัย การไม่อยู่ในบาป การรักษาชีวิตในทางพระเจ้า การร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้องในคริสตจักรอย่างมีวินัย การถวายทรัพย์ ความสนใจในท่าทีที่ถูกต้องมากกว่าผลลัพท์ เป็นต้น

5. สำแดงความรักเสมอแม้ในการให้คำแนะนำ ให้เขาสัมผัสได้ว่าเราเปิดใจยอมรับในความคิดของลูกแม้ความคิดนั้นๆ อาจจะไม่ตรงใจเราหรือไม่สมบูรณ์ที่สุดก็ตาม

6. มองเรื่องวินัยในชีวิตต่อลูกว่าเป็นกระบวนการที่ช่วยพัฒนาชีวิตลูกให้เติบโตขึ้นในการควบคุมตัวเองและสร้างวินัยสำหรับตัวเขาเองได้

7. อธิษฐานเผื่อลูกทุกวัน การเข้าไปวางมือสัมผัสลูกจะช่วยให้เขาสัมผัสความรักของคุณพ่อคุณแม่และพระเจ้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผมขอย้ำว่าทุกวัน ให้เกิดเป็นค่านิยมในครอบครัวของเรา

8. รักษาช่วงเวลานมัสการ อธิษฐานและการศึกษาพระคัมภีร์ในบ้านอย่างสม่ำเสมอ ถ้ายังไม่ทำคุณพ่อควรเป็นผู้ริเริ่มกิจกรรมนี้ ไม่จำเป็นต้องยาว แต่รักษาความสม่ำเสมอและเน้นคุณภาพในการใช้เวลา

9. ผนวกลูกเข้ากิจกรรมของคริสตจักรเสมอ อย่ารอ อย่ามีข้อแก้ตัวใดใด เพราะเวลาผ่านไปรวดเร็วมาก การที่ตัวเราและลูกข้ามไม่เข้าร่วมกิจกรรมคริสตจักรบ่อยๆ อาจเป็นการปลูกฝังความคิดของลูกว่ากิจกรรมส่วนตัวสำคัญมากกว่ากิจกรรมคริสตจักรเสมอ

10. คุณพ่อคุณแม่ควรมีส่วนในการรับใช้พระเจ้าในคริสตจักรอย่างสม่ำเสมอ เพราะการเข้าส่วนในการรับใช้นอกจากจะช่วยให้ลูกได้เห็นแบบอย่างที่ดีแล้ว ยังช่วยให้ชีวิตเราเติบโตขึ้นในทางพระเจ้าด้วย

การถ่ายทอดชีวิตในทางพระเจ้าจึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นอัตโนมัติ เกิดขึ้นทันทีเพียงข้ามคืน แต่เป็นวิถีชีวิตที่ทั้งครอบครัวยอมรับร่วมกันด้วยความยินดี การเข้าส่วนในคริสตจักรไม่ใช่เรื่องของภาระ หรือเรื่องของแบบอย่าง แต่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองและครอบครัวของเรา เมื่อเวลาผ่านไป เราจะขอบคุณพระเจ้าเสมอเพราะหากพระเจ้าอยู่ในชีวิตลูกแล้ว เราย่อมรู้สึกปลอดภัยมากกว่า

อ้างอิง

  • Barna, George. Re-Churching the Unchurched. Ventura, CA: Issachar Resources, 2000.
  • FOTFS, Dad for Life. How Fathers Give Children a Head Start. Created on April 28, 2011. [Online]. Available from: https://goo.gl/w3Gpr6 [2018, 7 Nov.]
  • Jent, Glenn A.  Spiritual Formation: A How-to-Book for Parents and Teachers. Bangalore: National Printing Press, 1999.
  • Lee, R.S. Your Growing Child and Religion. Penguin Books; Reprint edition, 1967.

ความคิดเห็น