หลุนอี่ว์ เป็นปรัชญาที่เขียนในลักษณะบทสนทนาระหว่างขงจื่อกับลูกศิษย์ รวบรวมไว้ในระหว่างปี 551-479 ปีก่อนคริสตกาล หลุนอี่ว์ถือเป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดในการพัฒนารากฐานวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของคนจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนเราสามารถกล่าวได้ว่า หากเราไม่เข้าใจหลุนอี่ว์ เราไม่อาจจะเข้าใจปรัชญาจีนทั้งหมด และเราไม่สามารถเข้าใจความเป็นจีนได้โดยไม่ศึกษาหลุนอี่ว์
![]() |
หลุนอี่ว์: ขงจื่อสนทนา งานแปลอันทรงคุณค่าของ สุวรรณา สถาอานันท์ |
ความพิเศษของหลุนอี่ว์อาจเทียบได้เท่ากับปรัชญาเพลโตก็ว่าได้ ลักษณะการเขียนของหลุนอี่ว์อาจจะยากที่จะกล่าวว่าเป็นปรัชญาเหมือนทางตะวันตกที่มีการสรุปแนวทางอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่หลุนอี่ว์กลับเป็นบทสนทนาระหว่างศิษย์กับอาจารย์คือขงจื่อ แล้วตัวบทสนทนาจะสะท้อนมุมมองที่พิเศษบางอย่างออกมาอย่างน่าอัศจรรย์
หลุนอี่ว์มีทั้งหมด 20 เล่ม ประกอบไปด้วยบทสนทนา 500 บท หลุนอี่ว์จะเน้นความมีจริยธรรม อารยธรรม การรักษาเทิดทูนขนบธรรมเนียมของราชวงศ์โจว ความสมดุลกลมเกลียวของในความสัมพันธ์ระหว่าง บิดา-บุตร, ผู้ปกครอง-ขุนนาง, พี่-น้อง, สามี-ภรรยา
สถานการณ์บ้านเมืองในยุคขงจื่อ เป็นยุคชุนชิว (720-489 ปี ก่อนคริสตกาล) เป็นยุคแห่งความวุ่นวาย เต็มไปด้วยสงครามและการแย่งชิงระหว่างนครรัฐ และขงจื่อได้พยายามคิดหาหนทางเพื่อให้เกิดความสงบสุขโดยเดินทางไประหว่างนครรัฐเพื่อสอนประชาชนและขุนนางให้เข้าใจปรัชญาที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แม้เราพบว่าในที่สุดสงครามและความปรารถนาในการยึดครองจะชนะความคิดปรัชญาแห่งสันติ แต่คำสอนของขงจื่อเป็นสิ่งที่น่าคิดและน่าชื่นชมในทุกยุคทุกสมัย
เรามาดูส่วนหนึ่งของหลุนอี่ว์ครับ ซึ่งผมจะขอคัดลอกโดยไม่อธิบายความเพื่อผู้อ่านจะมีอรรถรสในการตีความในความเข้าใจของเอง
1. คำเตือนของผู้มีปัญญาและผู้ด้อยความคิด
"มีแต่ผู้มีปัญญาขั้นสูงสุดและผู้โฉดเขลาที่สุด ที่ไม่เปลี่ยนแปลง"
“เรียนรู้โดยไม่คิดจะสูญเปล่า คิดโดยไม่เรียนรู้จะเป็นอันตราย”
"รักมนุษยธรรมแต่ไม่รักการเรียนรู้ โทษที่บังเกิดคือความโง่
รักความรู้แต่ไม่รักการเรียนรู้ โทษที่บังเกิดคือเลื่อนลอยไร้แก่นสาร
รักความจริงแต่ไม่รักการเรียนรู้ โทษที่บังเกิดคือความบั่นทอน
รักความตรงแต่ไม่รักการเรียนรู้ โทษที่บังเกิดคือความดุดัน
รักความกล้าหาญแต่ไม่รักการเรียนรู้ โทษที่บังเกิดคือความบ้าบิ่น
รักความแข็งแกร่งแต่ไม่รักการเรียนรู้ โทษที่บังเกิดคือความคลั่ง"
2. คำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง
“ภาวะพหุวัฒนธรรม คืออาการแห่งความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม มิใช่เอกวัฒนธรรม
เอกภาพเชื่อมโยงกับความกลมเกลียวในแง่สุนทรียศาสตร์ และจริยศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่บนความแตกต่างมากกว่าความเหมือน ความเหมือนไม่เพียงแต่จืดชืด น่าเบื่อ และภายในความเหมือนนั้นอาจจะเต็มไปด้วยภายในที่ร้าวฉานแตกแยกเพราะถูกบังคับให้ต้องชอบสิ่งเดียวกันเท่านั้นโดยขัดแย้งกับสุนทรียศาสตร์และจริยศาสตร์ของแต่ละกลุ่มคน
น่าเสียดายที่ชนชั้นปกครองทุกยุคสมัยมักชอบให้คนแสดงออกทำอะไรเหมือนๆ กันโดยเชื่อว่านั่นคือการแสดงถึงเอกภาพทั้งๆ ที่การบีบคั้นกลับยิ่งทำลายเอกภาพของผู้คนมากกว่าการสร้างเอกภาพที่แท้จริง”
น่าเสียดายที่ชนชั้นปกครองทุกยุคสมัยมักชอบให้คนแสดงออกทำอะไรเหมือนๆ กันโดยเชื่อว่านั่นคือการแสดงถึงเอกภาพทั้งๆ ที่การบีบคั้นกลับยิ่งทำลายเอกภาพของผู้คนมากกว่าการสร้างเอกภาพที่แท้จริง”
"เมื่อมีผู้คนมากมายขนาดนี้ ยังควรเพิ่มอะไรอีก อาจารย์กล่าวว่า 'ทำให้ร่ำรวย', ถ้าพวกเขาร่ำรวยขึ้นแล้ว ยังควรเพิ่มอะไรอีก อาจารย์กล่าวว่า 'ให้การศึกษา'"
3. คำแนะนำสำหรับผู้ทะเยอทยาน
"อย่าวิตกว่าจะไม่มีตำแหน่ง แต่วิตกว่าจะไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง อย่าวิตกว่าจะไม่เป็นที่รู้จัก แต่พยายามทำตัวให้มีคุณค่าควรแก่การรู้จัก"
4. ข้อคิดส่วนตัว
"สำหรับผู้ทรงปัญญา มีสามสิ่งที่พึงระวัง เมื่อเยาว์วัย เลือดลมพลุ่งพล่าน พึงระวังกามารมณ์, เมื่อวัยฉกรรจ์ เลือดลมแข็งแกร่ง พึงระวังการต่อสู้แย่งชิง, เมื่อวัยชรา เลือดลมถดถอย พึงระวังการยึดถือครอบครอง"
"อาจารย์เห็นอย่างไรกับ 'คนที่มาร่วมชุมชมรักทุกคน', อาจารย์กล่าวว่า 'ยังใช้ไม่ได้', แล้วคนที่ 'มาร่วมชุมชนเกลียดทุกคนหล่ะ', อาจารย์กล่าวว่า 'ยังใช้ไม่ได้ จะดีกว่าถ้าคนดีในชุมชนรักเขา และคนไม่ดีในชุมชนเกลียดเขา'"
"สมัยนี้ความกตัญญูหมายถึงการเลี้ยงดูบิดามารดา แต่เราก็เลี้ยงดูม้าและสุนัขด้วยมิใช่หรือ ถ้าขาดความเคารพแล้ว จะมีอะไรเพื่อแยกแยะการเลี้ยงดูแบบหนึ่งออกจากอีกแบบหนึ่งเล่า"
นี่แค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นครับ หากชอบข้อไหนเพราะอะไร สามารถแบ่งปันได้นะครับ และดีที่สุดคือการอ่านฉบับเต็มในหนังสือ หลุ่นอี่ว์: ขงจื่อสนทนา, สุวรรณา สถาอานันท์ สำนักพิมพ์ Open Books ความหน้า 725 หน้า ระดับความยาก: ปานกลาง
ความคิดเห็น