เราจะมองคริสตจักรให้ทะลุถึงแก่นแท้ได้อย่างไร

โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
ปัจจุบันคริสตจักรเริ่มมีความคิดในการสร้างคริสตจักรให้มีสุขภาพดีมากว่าการเน้นเรื่องการขยายในปริมาณอย่างเดียว แท้จริงแล้วคริสตจักรคือคริสเตียนที่มาอยู่ร่วมกัน ใช้ชีวิตด้วยกันไม่ใช่แค่วันอาทิตย์ แต่เพื่อแสวงหาพระเจ้าและร่วมผูกพันเป็นพี่เป็นน้องกับคริสเตียนคนอื่นๆ ซึ่งนับเป็นสิ่งพิเศษที่พระเจ้าทรงประทานให้คือชุมชนของพระเจ้า Christian Congregation หรือ Community of Faith
เวลาที่เรามีโอกาสเข้ามาในคริสตจักร หรือมีโอกาสไปเยี่ยมเยียน หรือแม้แต่ตั้งใจไปดูงานเพื่อศึกษาวิธีการทำงานที่ประสบความสำเร็จของคริสตจักรนั้นๆ เราต้องมองลึกเข้าไปถึงตัวตนที่แท้จริงของคริสตจักรมากกว่าอาคาร ผู้คน หรือกิจกรรมในวันอาทิตย์ที่สามารถสังเกตเห็นได้ เพื่อสังเกต วิเคราะห์ และพบว่าคริสตจักรนั้นๆ แท้จริงเป็นอย่างไร มีอะไรที่น่าเรียนรู้ มีอะไรที่เป็นสิ่งที่เขากำลังต่อสู้ มีจุดดีจุดอ่อนอย่างไร ซึ่งถ้าเป็นคริสตจักรที่เราเป็นสมาชิกอยู่แล้ว เราก็สามารถเป็นพรได้ทันทีด้วยการนำเสนอวิธีการหรือความคิดที่จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

สังเกตอะไร? แล้วเห็นอะไร?
แนนซี่ ผู้เขียนหนังสือ Studying Congregations (Ammerman: 1998, 13-16) ได้ให้วิธีการมองเพื่อศึกษาชุมชนแห่งความเชื่อคือคริสตจักรว่ามีจุดสังเกตอะไรบ้างที่เราสามารถพบตัวตนของเขาได้จริงๆ
1) ระบบนิเวศของคริสตจักร (Ecosystem)
เหมือนสิ่งมีชีวิตต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมบางอย่างที่ทำให้สิ่งมีชีวิตที่เจาะจงสามารถดำรงชีพได้ เช่น คริสตจักรนี้มาได้อย่างไร ใครเป็นกำลังสำคัญในด้านต่างๆ ทั้งการเงิน กำลังคน สถานที่ตั้ง ความสะดวกการเดินทาง โอกาสในการเติบโต

2) วัฒนธรรมคริสตจักร
อะไรที่มาจากการยอมรับร่วมกันในคริสตจักร เช่น ลักษณะอาคาร การจัดที่นั่งของโบสถ์ เอกสารแนะนำคริสตจักร โลโก้คริสตจักร เรื่องอะไรที่ชอบคุยกัน ระดับของภาษา ทางการหรือเป็นกันเอง มีพี่น้องสมาชิกหรือผู้นำที่เป็นเหมือนฮีโร่ในคริสตจักรหรือไม่ หรือแม้แต่เรื่องตลกภายในคริสตจักร (inside joke)

3) ทรัพยากรในคริสตจักร
ฐานะของสมาชิกโดยรวม ลักษณะการแต่งกาย อาคารสถานที่ ชื่อเสียงของคริสตจักร ความจริงเรื่องเล่าในอดีตในยุคบุกเบิกก็เป็นหนึ่งในทรัพยาการคริสตจักรที่มีความสำคัญเหมือนกัน การร่วมแรงร่วมใจ การมีความตั้งใจร่วมผูกพันในคริสตจักร (church commitment) เป็นต้น

4) กระบวนการทางสติปัญญา (Intellectual Process)
ค่านิยมของคริสตจักร ความเข้าใจพระคัมภีร์ บทเรียน  ระเบียบของคริสตจักร กฎที่ไม่ได้เขียนแต่พอสังเกตได้

สไตล์ที่แตกต่างกันของคริสตจักรมาจากไหน?
1) นิกาย หรือจุดยืนทางความเชื่อ
ต้นทางของนิกายอยู่ในรูปแบบไหน คริสตจักรนิกายนั้นๆ ก็จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน อาจเป็นรูปแบบตัวอาคาร การจัดวางที่นั่ง การจัดวางอุปกรณ์บนเวที คริสตจักรสมัยใหม่บางแห่งอาจมีการใช้เทคโนโลยีมัลติมีเดียเข้ามาใช้ บางแห่งก็ไม่เน้น

2) ภาษาและวัฒนธรรม
ภาษาที่ใช้ในคริสตจักร ประวัติอันยาวนาน การพยายามอนุรักษ์ความภาคภูมิใจในอดีต เป็นต้น ความจริงในประเทศไทยบางคริสตจักรมีต้นกำเนิดโดยพี่น้องคริสเตียนชาวจีนที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทย แม้เวลาผ่านไปหลายรุ่นคริสตจักรนั้นๆ ยังคงต้องการรักษาบรรยากาศของชาวจีนไว้ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของคริสตจักรนั้นๆ

3) พันธกิจ หรืองานที่เน้นตามความสนใจคริสตจักร
บางคริสตจักรเน้นการเยี่ยมเยียนผู้ป่วย บางแห่งทำพันธกิจเรือนจำ บางแห่งเน้นงานด้านนมัสการ สไตล์ของคริสตจักรก็มักแตกต่างกันตามความสนใจ ฯลฯ

4) ภาพเปรียบเทียบคริสตจักร (Metaphors)
พระคัมภีร์ให้ภาพเปรียบเทียบคริสตจักรไว้หลายภาพ เช่น ภาพของครอบครัว (1 ทธ.3:15) ภาพเสาหลักแห่งความเชื่อ (1 ทธ.3:5) ภาพโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา (1 ทธ.5:4, 1 ทธ.6:19) ภาพของกองทัพ (2 ทธ.2:3-4) ภาพของเจ้าสาวของพระคริสต์ (วว.21:9-10) เป็นต้น 

ส่วนใหญ่การแสดงออกของคริสตจักรมีแนวโน้มจะใช้สไตล์จากภาพเหล่านี้ 1-2 ภาพที่เป็นสไตล์นำ เช่น ถ้าเป็นภาพครอบครัวนำ คริสตจักรจะเน้นความเป็นครอบครัวของสมาชิก การอบรมเกี่ยวกับครอบครัว การใช้เวลาที่ให้เวลาสมาชิกได้ใช้ในครอบครัวเพื่อสอนเป็นต้น บางคริสตจักรเน้นภาพกองทัพก็จะมีโครงสร้างมากมาย มีการสอนเป็นระบบเป็นชั้นๆ เน้นเรื่องวินัยการตรงต่อเวลา มีการพูดหรือท่องคำนิยมหรือ motto เป็นต้น

แล้วคริสตจักรสุขภาพดีดูยังไง?
Cyril (Hovorun: 2015, 27) ได้ให้ภาพไว้ว่าคริสตจักรในยุคใหม่จะมีลักษณะที่น่าสนใจคือ
1) คริสตจักรเน้นพระเยซูคริสต์เป็นหลัก
มีการกล่าวถวายเกียรติยกย่องพระเยซูในที่ประชุมอย่างชัดเจน เน้นการใช้ชีวิตร่วมกับพระเยซู สนับสนุนให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า เช่น เน้นการอธิษฐาน เน้นการนมัสการ เป็นต้น

2) ให้ความสำคัญกับพระมหาบัญญัติ คือรักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้าน 
พระเยซูทรงตอบเขาว่า “‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’ และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ (มัทธิว 22:37-39)

3) ชีวิตสมาชิกสะท้อนความตั้งใจในการเปลี่ยนชีวิตในความชอบธรรม
ชีวิตจริงเป็นสิ่งที่เราสนใจมากกว่าแค่ชีวิตในวันอาทิตย์ซึ่งง่ายที่จะแสดงออกในความบริสุทธิ์ชอบธรรม การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงที่มาจากพระเจ้าจะเกิดขึ้นภายในจิตใจ และมีผลต่อทุกอย่างในชีวิตของผู้เชื่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบทบาท สถานภาพ และทุกเวลาไม่เพียงแค่วันอาทิตย์เท่านั้น ชีวิตของสมาชิกสะท้อนความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงในทางความชอบธรรมของพระเจ้าหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับเราซึ่งเราต้องพึ่งพาพระเจ้าในการเปลี่ยนแปลงนี้

4) คริสตจักรมีพันธกิจออกไปแตะคนนอกโบสถ์
คริสตจักรมีมุมมองของพระกิตติคุณแบบองค์รวม (Holistic Gospel) มีส่วนทำงานเพื่อเป็นพรแก่สังคม เช่น งานพันธกิจคนเมืองใหญ่ งานเยียวยาปัญหาสังคม งานช่วยโสเภณี คนจรจัด คนยากไร้ ผู้ติดยาเสพติด หรือพันธกิจเรือนจำ เป็นต้น ความจริงสุขภาพดียังสามารถมองได้ในหลายมิติมากกว่านั้น แต่โดยหลักอย่างน้อยจะมีหลักคิดตามข้างต้นทั้งหมดด้วยกัน
แล้วเราจะกลับมามองคริสตจักรของเราอย่างไร?
1) มั่นใจในพระเจ้าที่ทรงปกครองเหนือคริสตจักรของเรา
พระเจ้าทรงนำเรามาอย่างไร พระเจ้าจะทรงนำเราต่อไปอย่างแน่นอน อย่าขาดความมั่นใจในพระเจ้าจนถึงจะต้องเปลี่ยนทุกเรื่องที่เห็นจากคริสตจักรอื่น เราต้องให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง (theocentric) ไม่ใช่สนใจเพียงวิธีการของมนุษย์เท่านั้น (anthropocentric)

2) ตระหนักสภาพที่เป็นทั้งที่เหมาะสมอยู่แล้วและประเด็นที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง
บริบทของสมาชิกของแต่ละคริสตจักรมีความแตกต่างกัน การกลับมาตระหนักในบริบทของเราเป็นสิ่งที่ทำให้เราเรียนรู้ ตระหนักในจุดที่เป็นจริงของคริสตจักร และเริ่มต้นจากความเป็นจริง

3) ยอมรับและขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่ง
บางคริสตจักรมีตำนานที่ยาวนานเป็นความภูมิใจของรุ่นสู่รุ่น เราควรขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งพิเศษนี้และภูมิใจในพระคุณพระเจ้าที่มีต่อคริสตจักรมากกว่าจะต้องเปลี่ยนให้ได้ในทุกเรื่องที่เรารู้มาจากคริสตจักรอื่นๆ

4) ปรับเปลี่ยนบางสิ่งเพื่อถวายเกียรติพระเจ้าได้มากขึ้น
ปัจจัยของผู้คนเปลี่ยนไปเสมอในแต่ละยุค ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของสังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี การเมือง คริสตจักรทุกยุคสมัยล้วนปรับตัวทั้งสิ้น เพราะสิ่งสำคัญที่สุดของคริสตจักรคือผู้เชื่อที่ต้องดำเนินกับพระเจ้าและส่งอิทธิพลในทางบวกไปสู่ผู้คนรอบข้างในยุคของเขา

ในการเรียนรู้จากหลากหลายคริสตจักร เราสามารถรับและแลกเปลี่ยนสิ่งดีมากมายจากกันและกันได้โดยถือว่าเป็นการสนับสนุนและเป็นพรต่อกันไม่เปรียบเทียบแข่งขันหรือชิงดีชิงเด่นกัน เราอาจต้องเปิดใจยอมรับในความแตกต่าง พยายามศึกษาทำความเข้าใจบริบทเฉพาะเจาะจงของเขาโดยไม่เลียนแบบตรงๆ เพื่อเราจะมองคริสตจักรให้ทะลุถึงแก่นแท้ซึ่งสุดท้ายอาจจะเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้คือ "เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าของเรา"

อ้างอิง
  • Cyril Hovorun. Meta-Ecclesiology:  Chronicles on Church Awareness. Palgrave Macmillan, 2015.
  • Chow Lien Hwa, The Minister as Theologians, 1981.
  • Ellen T. Charry, By The Renewing of Your Minds: The Pastoral Function of Christian Doctrine. Oxford University Press, 1999.
  • Nancy Ammerman & others. Studying Congregations. Abingdon Press, 1998.
  • Sunny Tan, Need for Pastor Theologian, 2018.

ความคิดเห็น