นางรูธ ผู้หญิงที่จีบผู้ชายก่อน

โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
นางรูธเป็นผู้หญิงหนึ่งใน 5 ที่ถูกเอ่ยถึงในลำดับพงศ์ของพระเยซู (มัทธิว 1:5) พื้นเพดั้งเดิมของนางรูธเป็นชาวโมอับซึ่งเป็นคนต่างชาติ เรื่องราวของนางรูธเกิดขึ้นในสมัยผู้วินิจฉัยถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิมในหมวดประวัติศาสตร์ ขณะนั้นเกิดการกันดารอาหารขึ้นที่ยูดาห์ เอลีเมเลคจึงพาภรรยาคือนางนาโอมีและลูกชาย 2 คน คือมาห์โลนและคิลิโอนอพยพไปยังดินแดนโมอับ พระคัมภีร์บรรยายไว้ว่า “บุตรชายสองคนนี้ แต่งงานกับหญิงสาวชาวโมอับ คนหนึ่งชื่อว่าโอรปาห์ และอีกคนหนึ่งชื่อรูธ เขาทั้งหลายอยู่ที่นั่นประมาณสิบปีนางรูธ” เรื่องราวผลิกผันเมื่อสามีของหญิงชาวโมอับทั้งสองเสียชีวิตลงขณะที่นางยังสาวทำให้นางนาโอมี และลูกสะใภ้ทั้งสองกลายเป็นหญิงหม้ายไป “แล้วมาห์โลนและคิลิโอนก็ตาย เหลือแต่นาโอมีที่ต้องอยู่อย่างไม่มีสามีและบุตรชายทั้งสอง” นาโอมีตัดสินใจกลับไปยังเบธเลเฮม และขอให้สะใภ้ไปตามทางของตน พ้นจากพันธะของการแต่งงานไปแต่งงานใหม่ได้ โอรปาห์จากไปแม้ไม่จะเต็มใจแต่นางรูธยืนยันขอติดตามนาโอมีไปยังดินแดนยูดาห์ นางรูธตอบนาโอมีได้อย่างน่าสนใจว่า “ขอแม่อย่าวิงวอนให้ลูกจากแม่หรือเลิกตามแม่กลับไปเลย เพราะแม่จะไปไหนลูกจะไปด้วย และแม่จะอาศัยอยู่ที่ไหนลูกก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ชนชาติของแม่จะเป็นชนชาติของลูก และพระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของลูก” ในตอนนี้สามารถพบความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างรูธกับนาโอมีได้ รูธแสดงน้ำใจที่ต้องการดูแลแม่สามีเสียสละทิ้งบ้านเกิดเพื่อติดตามนาโอมีกลับมายังยูดาห์และยืนยันที่จะยอมรับพระเจ้าของอิสราเอลเป็นพระเจ้าของนางรูธด้วย
นาโอมีและรูธกลับมาถึงเบธเลเฮมในฤดูเก็บเกี่ยวข้าวบาเล่ย์พอดี ที่นั่นมีชายคนหนึ่งชื่อโบอาสเป็นญาติของเอลีเมเลคเป็นคนมั่งมีและมีชื่อเสียงดี รูธขออนุญาตนาโอมีไปเก็บข้าวตกจาการเก็บเกี่ยวนา ตามธรรมบัญญัติแล้ว ข้าวตกจะเป็นส่วนที่คนเกี่ยวจะแสดงน้ำใจเหลือไว้ให้คนยากจน (เฉลยธรรมบัญญัติ 24:19-22) รูธเผอิญเข้าไปในที่นาของโบอาส ซึ่งโบอาสได้แสดงน้ำใจแก่รูธโดยให้ปล่อยให้รูธสามารถเก็บข้าวตก ย้ำไม่ให้คนงานไปรังแกรูธ และยังอนุญาตให้รูธดื่มน้ำได้ โบอาสยังสนทนากับรูธถึงเรื่องราวที่ได้ยินมาเกี่ยวกับเธอ ความประทับใจที่รูธแสดงออกต่อนาโอมีและความเสียสละในการจากบ้านเกิดบิดามารดามายังดินแดนที่เธอไม่รู้จัก โบอาสเชิญมารับประทานอาหารในที่เดียวกัน เอาใจใส่พูดจาดีต่อรูธ การแสดงออกของโบอาสแสดงถึงความสนใจในตัวนางรูธ เมื่อรูธเล่าเรื่องนี้ให้นาโอมีฟัง นาโอมีสนับสนุนอย่างเต็มที่เพราะโบอาสเป็นญาติคนหนึ่งของนาง

นาโอมีตั้งใจจะให้รูธเป็นภรรยาของโบอาส แนะนำให้รูธอาบน้ำแต่งตัวทาน้ำมันหอมแล้วเข้าไปนอนรอที่ปลายเตียงของโบอาส รูธเชื่อฟังนาโอมีอย่างไม่ขัดขืน พระคัมภีร์บรรยายไว้ว่า “เมื่อโบอาสรับประทานและดื่มจนสุขใจแล้ว ท่านก็ไปนอนอยู่ที่ปลายกองข้าว แล้วนางก็ย่องเข้ามา เปิดผ้าคลุมเท้าของท่านขึ้น และนอนลง พอถึงเที่ยงคืน โบอาสก็ตกใจตื่นพลิกตัว ดูสิ มีผู้หญิงนอนอยู่ที่เท้าของท่าน” (นางรูธ 3:7-8) พระคัมภีร์บรรยายต่อถึงความเป็นสุภาพบุรุษของโบอาส เขาไม่ได้ร่วมหลับนอนกับนางรูธแม้ว่าเธอเข้ามาในแบบที่พร้อมจะให้หลับนอนด้วย โบอาสอธิบายกฎหมายเรื่องวิธีการที่ญาติสนิทจะเข้ามาดูแลภรรยาของสามีเสียชีวิต และพูดตามตรงว่ามีญาติสนิทก่อนโบอาส ต้องให้เขาปฏิเสธก่อนโบอาสจึงจะมีสิทธิ์ อย่างไรก็ดีโบอาสยืนยันกับรูธว่าถ้าญาติสนิทคนนั้นปฏิเสธโบอาสจะดูแลรูธเป็นภรรยาแน่นอน (นางรูธ 3:13)

ดูเหมือนนางรูธจะเป็นผู้หญิงอาภัพมาก แต่งงานกับสามี สามีก็เสียชีวิตเมื่อตนเองยังเป็นสาว ตามแม่สามีกลับมายังเบธเลเฮม เพื่อทำตามคำแนะนำของแม่สามี แม่สามีแนะนำให้ไปเก็บข้าวตกจากที่นาของโบอาสเพื่อปูทางไปสู่การเป็นภรรยาของโบอาสในฐานะญาติสนิทที่สามารถรับดูแลนางได้ นางรูธก็ทำตาม จนกระทั่งถึงการเปิดผ้าห่มที่นอนของโบอาส ให้ท่าขนาดนี้แล้วยังถูกปฏิเสธจากโบอาส โบอาสเป็นสุภาพบุรุษไม่ฉวยโอกาส แต่ทำตามธรรมเนียมยิวคือให้สิทธิ์ครอบครองแก่ญาติผู้ที่สามารถมีสิทธิ์ครอบครองนางรูธก่อนโบอาส ญาติคนนั้นก็ไม่รับเป็นภรรยา ในที่สุดโบอาสรับนางรูธมาเป็นภรรยา

พระคัมภีร์บรรยายถึงนางรูธไว้ว่าเป็นแม่หม้ายสาวชาวโมอับ ยังไม่มีลูก รูธเป็นคนกตัญญู เป็นคนขยัน เชื่อฟังนาโอมี เป็นผู้หญิงดี แต่สิ่งที่รูธทำอาจจะดูแปลกในยุคสมัยนี้คือยอมเชื่อฟังนาโอมีถึงขนาดยอมไปนอนในลานนวดข้าวในลักษณะให้ท่ากับโบอาสตามคำแนะนำของนาโอมีและพูดอย่างตรงไปตรงมาขอให้โบอาสเข้าหานาง พระคัมภีร์บันทึกบทสนทนาไว้ว่า “ท่านจึงถามว่า ‘เจ้าเป็นใคร?’ นางตอบว่า ‘ดิฉันคือรูธคนใช้ของท่านค่ะ ขอให้ท่านกางชายเสื้อคลุมของท่านห่มสาวใช้ของท่านด้วย เพราะท่านเป็นญาติสนิท’”

คำถามที่น่าคิดคือ เพื่อทำตามคำสั่งของนาโอมี ผู้หญิงดีๆ อย่างนางรูธสามารถให้ท่าผู้ชายถึงขนาดนี้เชียวหรือ? แล้วปัจจุบันหลักอะไรที่สามารถนำมาประยุกต์ในชีวิตคริสเตียนได้

วัฒนธรรมสมัยผู้วินิฉัยในอิสราเอลเป็นวัฒนธรรมที่เหมือนจะมีหลักแต่การประพฤติตามใจตนเองในระดับหนึ่ง ที่สำคัญคือคำแนะนำในครัวเรือนเป็นสิ่งสะท้อนความจริงจังในการประพฤติตามกฏบัญญัติของโมเสส เราเห็นร่องรอยนี้ผ่านความประพฤติของโบอาสอย่างชัดเจน เขาเป็นคนดีมีความเมตตา สุภาพ ไม่ฉวยโอกาส เคารพหลักธรรมบัญญัติและใช้อย่างดีโดยไม่ทำตามอารมณ์หรือสถานการณ์ คำแนะนำของโบอาสจึงตรงไปตรงมาตามธรรมบัญญัติ ต่างจากนาโอมีที่ออกจากยูดาห์ไปยังโมอับ หาลูกสะใภ้ให้ลูกแทนที่จะเป็นคนอิสราเอลกลับเป็นคนต่างชาติ เมื่อกลับมาและได้ยินเรื่องราวของโบอาสก็ให้คำแนะนำรูธด้วยความหวังดีห่วงใยลูกสะใภ้ แต่มุมปฏิบัติอาจจะต้องถือว่าเป็นวัฒนธรรมที่แตกต่างกันจากปัจจุบัน

เทร์ซี เอ็ม. เลมอส ได้ให้ทัศนะไว้ในหนังสือการแต่งงานและธรรมเนียมการงานแต่งงานในอิสราเอลสมัยโบราณ (Weddings and Marriage Traditions in Ancient Israel) เลมอสได้อธิบายว่า หากผู้ชายต้องการแต่งงานจะต้องนำของขวัญหรือสินสมรสไปสู่ขอต่อพ่อของฝ่ายหญิงจึงสามารถรับผู้หญิงนั้นมาเป็นภรรยา เช่นเดียวกันกับประเพณีสืบทอดภรรยาของญาติสนิทที่เสียชีวิตไป ต้องแจ้งแก่ผู้ใหญ่ที่ประตูเมือง ซึ่งเป็นการทำอย่างเปิดเผยมีผู้รู้เห็นและยอมรับ 

ถ้าจะทำตามแบบของนางรูธตรงๆ ในปัจจุบันต้องถือว่ามีความเสี่ยงต่อการถูกล่วงประเวณีสูงมาก และไม่ควรทำแล้ว แม้ว่าจะมีใครแนะนำก็ตาม ประเด็นที่น่าคิดจึงขอลดระดับลงมาที่ “ผู้หญิงสามารถจีบผู้ชายที่ดีได้หรือไม่?” หากผู้ชายคนนั้นดีจริงๆ มีชื่อเสียงดีในทางพระเจ้า เป็นที่ยอมรับของชุมชน สุภาพและให้เกียรติสุภาพสตรี ที่สำคัญมีผู้ใหญ่คอยเชียร์ ส่วนตัวคิดว่าหากไม่ออกนอกกรอบความดีงามตามจริยธรรมพระคัมภีร์และประเพณีไทย ไม่ทำให้เกิดการเสพติดทางอารมณ์ ตั้งใจจะเป็นเพื่อนกันก่อนแล้วค่อยๆ สังเกตชีวิตกันไป ไม่ไปสู่การล่วงประเวณีหรือสร้างโอกาสที่สุ่มเสี่ยงต่อการล่วงประเวณี และในที่สุดตั้งใจจะแต่งงานกัน ก็น่าจะเป็นไปได้แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละคน ข้อคิดที่น่าจะเป็นอีกอันหนึ่งคือปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของการคบหา ไม่รีบเร่ง ไม่หลงเร็วจนเกินไป ทุกอย่างต้องเปิดเผยต่อผู้ใหญ่ด้วย

ความคิดเห็น