วิลมา เดิร์กเซน กับการให้อภัยในสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย

โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
การถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะรับได้ แม้ว่าเหยื่อจะตายไปแล้ว แต่คนที่ยังไม่จบคือคนที่เหลืออยู่ พ่อแม่ ครอบครัว ญาติมิตร ตลอดจนสังคมที่เขาอยู่ เรื่องราวในตอนนี้จะบอกเราว่าการตอบโต้ที่มากไป และการไม่ตอบโต้เลยจะส่งผลอย่างไรแก่ตัวเองและสังคม

กรณีแรกคือ คิมเบอร์รี่ ลูกสาวของไมค์ เรย์โนลด์ส อายุ 18 ปี สาวผมบลอนด์ อนาคตไกล เป็นนักศึกษาสถาบันเพื่อการออกแบบและการจัดการแฟชั่นในเมืองลอสแองเจลิส ถูกฆาตกรรมระหว่างเดินทางกลับจากการรับประทานอาหารค่ำกับเพื่อนของเขาที่เมืองเฟรสโน รัฐแคลิฟอร์เนีย ประมาณ 22:41 น. คนร้ายก่อเหตุปล้นระหว่างที่เขากำลังเข้ารถ และยิงปืนจ่อที่ศีรษะของคิมเบอร์รี่เพื่อจะชิงทรัพย์ คิมเบอร์รี่ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตในอีกวันหนึ่งโดยพ่อของเธอจับมือของเธอไว้จนเธอจากไป เรย์โนลด์ส ให้สัญญากับลูกว่า “พ่ออาจจะช่วยชีวิตลูกไม่ได้ แต่พ่อจะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องนี้กับใครอีก”
ไมค์ เรย์โนลด์ส (Mike Reynolds) คุณพ่อผู้สูญเสีย
ต่อมาโจรถูกจับได้ และได้ความว่าคนหนึ่งคือ โจ เดวิส มีคดียาเสพติดและพกพาอาวุธปืนติดตัวยาวเป็นหางว่าว เขาเพิ่งพ้นโทษจากเรือนจำข้อหาขโมยรถ เดวิสเป็นคนยิงคิมเบอร์รี่เสียชีวิต อีกคนคือดักลาส วอล์กเกอร์ เคยเข้าออกคุกมาแล้ว 7 ครั้ง ทั้งคู่ติดยาไอซ์ขั้นงอมแงม การสอบสวนได้ความว่า “ไม่มีอะไรมาก จู่ๆ มันก็เกิดขึ้นเอง อยู่ดีๆ เราก็ออกไปทำเรื่องพวกนี้กัน ผมบอกได้แค่นี้แหล่ะ” วอล์กเกอร์ เป็นคนขวางทางไว้ เดวิสแย่งกระเป๋า เอาปืน .357 จ่อที่หูขวาของเธอ พอคิมเบอร์รี่ขัดขืนก็เหนี่ยวไก เป็นการตอบสนองเรียบง่ายตามสัณชาติญาณของโจรที่คุ้นเคยกับการก่ออาชญากรรม จากนั้นก็ขี่มอเตอร์ไซด์ฝ่าไฟแดงหายไปในความมืด

ผลของดคีฆาตรกรรมอย่างอุกฉกรรจ์ทำให้ชาวแคลิฟอร์เนียตื่นตัว ไมค์ เรย์โนลด์ส พ่อของเธอเคลื่อนไหวอย่างมากโดยเฉพาะการผลักดันให้แก้กฏหมายอาชญากรรมให้รัดกุมยิ่งขึ้น เรย์โนลด์ส ได้ออกสื่อที่มีชื่อเสียง ได้ประชุมร่วมกับผู้พิพากษาและผู้มีอำนาจรัฐ จนกระทั่งเกิดการร่างกฎหมายพิเศษขึ้นมาคือ กฎหมายโทษผิดซ้ำซาก (Three Strikes Law) ซึ่งระบุว่าใครก็ตามที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีอุกฉกรรจ์หรือคดีอาญาเป็นครั้งที่ 2 ในรัฐแคลิฟอร์เนียจะต้องได้รับโทษหนักขึ้นเป็น 2 เท่า และหากถูกตัดสินว่าทำความผิดเป็นครั้งที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นคดีอะไรก็ตาม จะต้องได้รับโทษจำคุกขั้นต่ำ 25 ปี ไปจนถึงตลอดชีวิต โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทางกฎหมาย เมื่อกฎหมายประกาศรับรอง ปรากฏว่าสามารถสร้างปรากฏการณ์อย่างยิ่งใหญ่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี 1989 มีนักโทษ 80,000 คนในเรือนจำ ภายในเวลา 10 ปี นักโทษเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า อัตราการก่ออาชญากรรมลดลงอย่างมาก ในช่วงปี 1994-1998 อัตราการฆาตรกรรมลดลง 41.4% การข่มขืนลดลง 10.9% การชิงทรัพย์ลดลง 38.7% การทำร้ายร่างกายลดลง 22.1% การย่องเบาลดลง 29.9% และการขโมยรถลดลง 36.6%

เรื่องนี้ในที่สุดจะไปลงเอยคล้ายกับกรณีกราฟระฆังคว่ำจากทฤษฏี “การลดน้อยถอยลงของผลตอบแทน (Dimishing Marginal Returns)” คือเมื่อพิจารณาปรับโทษสูงขึ้น ช่วงแรกจะช่วยให้อัตราการก่ออาชญากรรมลดลงหรือดูแลสังคมได้ง่ายขึ้น “จนถึงจุดหนึ่งเท่านั้น” ทุกอย่างจะดูนิ่ง แม้การปรับโทษจะสูงขึ้นอีก ทุกอย่างจะกลับดูแย่ลง

ความจริงเรือนจำมีผลกระทบต่อสังคม ตัวอาชญากรเองได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ก็ส่งผลทางอ้อมต่อทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตัวอาชญากรด้วย ผู้ชายจำนวนมากถูกจับเข้าเรือนจำทำให้ลูกได้รับผลกระทบรุนแรงทางจิตใจและสังคม จากการสำรวจเงินที่ได้จากการก่ออาชญากรรมแม้จะผิดแต่ก็นำมาเลี้ยงครอบครัวเป็นหลัก การสูญเสียพ่อไปนานๆ ในเรือนจำทำให้เด็กกลายเป็นเด็กเกเรเพิ่มขึ้นถึง 3-4 เท่า และ 2.5 เท่าจะมีความผิดปกตกทางจิตถึงขั้นรุนแรง ในมุมของอาชญากรที่ได้รับโทษนานๆ เมื่อพ้นโทษแล้วก็ต้องกลับไปบ้านเดิม เขาจะไม่มีเพื่อนแล้ว เพื่อนของเขาจริงๆ คือเพื่อนในคุกที่เป็นอาชญากรเหมือนกัน และเมื่อไม่สามารถหาเงินเลี้ยงชีพได้ก็กลับไปก่ออาชญากรรมซ้ำๆ ปัญหาก็จะย้อนกลับมากระทบสังคมอีก

เคลียร์และดิน่า โรส ได้ทดสอบสมมติฐานโดยศึกษาจำนวนอาชญากรในเรือนจำที่เริ่มมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของสังคม คือศึกษาจุดที่จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดใด ผลการศึกษาพบว่า “ถ้ามีคนในชุมชนเข้าคุกเกิน 2% มันจะเริ่มส่งผลกระทบในทางตรงกันข้าม” และผลการศึกษาจากแหล่งอื่นยังพบว่ากฎหมายโทษผิดซ้ำซาก (Three Strikes Law) แม้อาชญากรรมโดยรวมลดลง แต่คดีอุกฉกรรจ์กลับพุ่งสูงขึ้นเป็นพิเศษ มากกว่านั้นรัฐยังต้องจัดงบประมาณในการดูแลค่าใช้จ่ายนักโทษที่เพิ่มเป็น 2 เท่าและอยู่ในคุกนานขึ้นอีกมากมายแทนที่เงินส่วนนี้จะถูกนำไปพัฒนารัฐในด้านอื่นๆ จนกระทั่งปี 2012 กฎหมายโทษผิดซ้ำซาก ก็ถูกปรับแก้ให้มีความรุนแรงลดลงมากจากการลงประชามติทั่วรัฐแคลิฟอร์เนีย
นักโทษล้นเรือนจำรัฐแคลิฟอร์เนีย
แม้จะออกแบบโทษทางกฎหมายให้รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงใด แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งก็อาจไม่สามารถแก้ปัญหาอื่นๆ ที่เป็นผลกระทบตามมาได้ในสังคม

กรณีที่ 2 คือแคนเดช เดิร์กเซน ลูกสาวอายุ 13 ปี แม่ของเธอ วิลมา เดิร์กเซน กำลังจัดแจงทำความสะอาดบ้านจึงโทรไปหาลูกให้ขึ้นรถเมล์กลับเอง เพราะถ้าขับไปรับแคนเดชก่อน จะไปรับสามีเร็วเกินไป และเธอยังมีลูกเล็กอีก 2 คนอยู่ที่บ้านด้วย ขณะนั้นเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน อากาศหนาวมาก เธอรอให้แคนเดชกลับมาเพื่อจะไปรับสามีของเธอด้วยกัน ปรากฏว่าแคนแดชน่าจะกลับได้แล้วก็ยังมาไม่ถึง อากาศยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ วิลมาขับรถตามหาแคนเดชไม่เจอจึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ การค้นหาเกิดขึ้นอย่างใหญ่โตกว้างขวางแต่ไม่พบ จนกระทั่งเดือนมกราคมผ่านไปถึง 7 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่ตำรวจคุยกับสามีของเธอ คลิฟฟ์ ตามลำพัง และได้แจ้งข่าวร้ายว่าพบศพแคนเดชถูกทิ้งในกระท่อมหลังหนึ่งห่างจากบ้านของครอบครัวเธอไปประมาณ 400 เมตร มือเท้าถูกมัดไว้ เธอเสียชีวิตเพราะความหนาว ครอบครัวเดิร์กเซนต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างแสนสาหัส คนทั้งเมืองเฟรสโนมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้อย่างรุนแรง บ้านของครอบครัวเดิร์กเซน เต็มไปด้วยผู้คนและเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อมาให้กำลังใจ ยังหาตัวอาชญากรไม่ได้ ทุกอย่างดูมืดมนไปหมด

ต่อมามีชายแปลกหน้าวัย 50 เข้ามาหาวิลมา และบอกเธอว่า ลูกสาวของเขาก็ถูกฆาตรกรรมเหมือนกัน คนร้ายถูกจับได้และถูกตัดสินจำคุก 4 ปีและพ้นผิดในที่สุด ชายคนนั้นรู้สึกกระบวนการยุติธรรมไม่เป็นธรรมลำเอียงเข้าข้างคนผิด ความโกรธเกี้ยวของเขาทำให้เขาทำงานไม่ได้ สุขภาพทรุดโทรม ชีวิตสมรสพังทลาย เขายังหมกมุ่นอยู่กับการเรียกร้องความยุติธรรม ชีวิตของเขาพังไปแล้วพร้อมกับลูกสาวของเขา

ที่งานศพของแคนเดช นักข่าวถามวิลมาว่ารู้สึกอย่างไร วิลมาตอบ “เราแค่อยากตามหาแคนเดชให้เจอ และเราก็ได้เจอแล้ว ตอนนี้ฉันคงยังไม่สามารถพูดได้ว่าให้อภัยคนร้ายแล้ว” “เราทุกคนล้วนแต่เคยทำเรื่องเลวร้ายในชีวิตหรือไม่ก็รู้สึกอยากทำกันทั้งนั้น” คำตอบเหมือนจะลงเอยที่การให้อภัยคนร้ายในที่สุด จนกระทั่งปี 2007 ตำรวจสามารถจับคนร้ายได้ เรื่องราวผ่านไปถึง 20 ปี ทุกอย่างน่าจะจบแต่การจับคนร้ายจะสะกิดแผลใหญ่ของครอบครัวเดิร์กเซนขึ้นมาอีกครั้ง

การไต่สวนพิจารณาพบว่า คนร้ายชื่อ มาร์ก แกรนต์ อาศัยไม่ไกลจากครอบครัวเดิร์กเซน มีประวัติก่ออาชญากรรมทางเพศและใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในคุก ในปี 2011 ศาลได้เรียกตัวแกรนต์เพื่อตัดสินลงโทษ แกรนต์มาด้วยสีหน้าแค้นเคืองครอบครัวเดิร์กเซน ซึ่งความจริงน่าจะกลับกัน คำให้การของแกรนต์ทำร้ายจิตใจวิลมาอย่างแสนสาหัส
“ตอนที่ฉันรู้ว่าเขามัดแขนขาของแคนเดชไพล่หลัง รสนิยมทางเพศนั้นมีอยู่มากมายหลายแบบ และเมื่อก่อนฉันไม่เคยรู้เลย...แบบนี้มันเลวร้ายกว่าความใคร่หรือถูกข่มขืนด้วยซ้ำ ช่างป่าเถื่อนเหลือเกิน ฉันเข้าใจว่าบางครั้งความต้องการทางเพศอาจรุนแรงจนควบคุมไม่อยู่ แต่แบบนี้มันโรคจิตชัดๆ มันน่ากลัวมาก เลวร้ายที่สุด”
ที่สุดสิ่งที่วิลมากลัว คือความกลัวผลกระทบของการไม่ยกโทษที่เธอเห็นมาแล้ว กลัวความโกรธแค้นของตัวเอง ในที่สุดเธอตัดสินใจให้อภัย เธอสามารถรักษาครอบครัวที่เหลืออยู่ได้ สามารถรักษาใจตัวเองไม่ให้จมอยู่ในความโกรธแค้น สามารถรักษามิตรภาพกับคนรอบข้างไว้ได้ ดูเหมือนจะตรงข้ามกับกรณีของไมค์ เรย์โนลด์ส ที่ผลักดันกฏหมายที่ทำให้รัฐต้องเสียเวลาไปถึง 20 ปี เสียงบประมาณมหาศาลไปอย่างเปล่าประโยชน์ คนที่เห็นด้วยในช่วงแรกๆ สุดท้ายผลกระทบแง่ลบต่อสังคมทำให้เขาไม่สามารถเห็นด้วยอีกต่อไปจนต้องยกเลิกกฏหมายฉบับนี้
วิลมา เดอร์คเซน (Wilma Derksen) กับหนังสือที่เธอเขียน The Way of Letting Go
สิ่งเล็กๆ ที่วิลมา ตัดสินใจ ส่งผลที่ยิ่งใหญ่ต่อตัวเองและสังคม เหมือนจะดูอ่อนแอ แต่สิ่งที่เกิดไปแล้วเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องยอมรับว่าชีวิตที่เหลืออยู่สำคัญกว่า เรื่องแบบนี้คนทั่วไปจะชอบการตอบสนองแบบ ไมค์ เรย์โนลด์ส มากกว่า แต่การตอบสนองอย่างน้อยของ วิลมา ก็แสดงให้เห็นว่าผลที่ออกมาแตกต่างและดีกว่า ถ้าพระเจ้าไม่ให้อภัยโลกนี้และไม่ส่งพระเยซูคริสต์ลงมาเพื่อรับแบกบาปโทษของเรา เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผลกระทบต่อเราทุกคนในวันนี้จะมากมายและเลวร้ายเพียงใด อย่างไรก็ตามส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายเลย

อ้างอิง: Malcome Gladwell, กลยุทธ์ ล้มยักษ์

ความคิดเห็น