อุปสรรคชีวิตสามารถสร้างคนขึ้นมาได้อย่างไร

เด็กๆ ในลอนดอนที่ได้รับผลกระทบจากการระเบิดปูพรม
เรื่องราวของการไม่ยอมแพ้ข้อจำกัดมากมายในชีวิตเป็นตัวอย่างคำพยานที่มีน้ำหนักสามารถเคลื่อนใจคนได้เสมอ เราอาจคิดว่าหากมีใครเกิดมาในความจำกัด มีจุดอ่อนที่เปราะบาง อยู่ภายใต้สถานการณ์ความยากลำบากที่ไม่สามารถอธิบายความสูญเสียร้ายแรงได้ หรือประสบปัญหาชีวิตอย่างรุนแรง สิ่งเหล่านั้นสามารถทำลายเขาได้อย่างไม่มีชิ้นดี และไม่จำเป็นต้องพูดถึงความสำเร็จเลย แต่จริงๆ มันเป็นเช่นนั้นเสมอไปหรือให้เรามาดูเรื่องราวต่อไปนี้กันครับ

ตัวอย่างที่น่าสนใจมากจากปรากฏการณ์ลอนดอนถูกทิ้งระเบิดเป็นเวลานานตลอด 8 เดือนในปี 1940 ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มีช่วงหนึ่งลอนดอนถูกการทิ้งระเบิดต่อเนื่องนานถึง 57 คืน มีผู้เสียชีวิต 600,000 คน บาดเจ็บ 1.5 ล้านคน ทุก 100 เมตรจะมีแอ่งหรือซากความเสียหายจากระเบิด สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ชาวลอนดอนถึงจุดหนึ่งจะมีปฏิกิริยานิ่งสงบมากไม่ว่าจะมีระเบิดถล่มลงมามากเท่าไรก็ตาม เป็นการปรับตัวได้อย่างน่าสนใจมาก ระเบิดไม่ได้ส่งผลกระทบกับเขาทางด้านร่างกายหรือจิตใจเหมือนที่เราทุกคนคิด จิตแพทย์ชาวแคนาดา เจ. ที. แมคเคอร์ดี ได้อธิบายในหนังสือ The Structure of Morale ถึงปรากฏการณ์นี้และได้แบ่งผลกระทบต่อผู้ถูกทิ้งระเบิดไว้ 3 กลุ่มคือ (1) กลุ่มผู้เสียชีวิต กลุ่มนี้สูญเสียมากที่สุด (2) กลุ่มผู้รอดชีวิตแบบเฉียดตาย กลุ่มนี้มีอาการหวาดกลัว เกิดอาการช็อค จิตใจบอบช้ำ และ (3) กลุ่มที่อยู่ห่างไกลจากความตาย น่าแปลกใจที่กลุ่มนี้จะรู้สึกถึงความตื่นเต้นผสมกับความรู้สึกตัวเองเป็นอมตะ คือกลุ่มเฉียดตายจะบอบช้ำ แต่กลุ่มเฝ้ามองความตายจากระยะไกลจะรู้สึกตัวเองอยู่ยงคงกระพัน

แมคเคอร์ดี ได้ให้ข้อสรุปที่น่าคิดไว้คือ
เราทุกคนไม่เพียงมีแนวโน้มที่จะหวาดกลัวเท่านั้น แต่เรายังกลัวว่าตัวเองจะรู้สึกหวาดกลัวด้วย และการเอาชนะความกลัวได้จะทำให้เรารู้สึกจิตใจเบิกบาน เพราะความรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างความกลัวในอดีตกับความโล่งใจในปัจจุบันก่อให้เกิดความกล้าหาญและสร้างความมั่นใจในตนเองมากขึ้น
โยเซฟถูกพวกพี่ชายกันขายไปเป็นทาสในอียิปต์เพราะอิจฉาเขา
โยเซฟตกอยู่ภายใต้ความตรึงเครียดแบบนี้เช่นกัน เขาเคยเป็นลูกรักที่มีพ่อคอยประคบประหงม แต่กลับต้องเผชิญวิกฤตชีวิตอย่างหนักแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ถูกพี่ชายทรยศขายไปเป็นทาสยังอียิปต์ ถูกภรรยาโปทิฟาร์ทรยศใส่ร้ายจนต้องเข้าไปติดคุก ในคุกเมื่อแก้ฝันให้เจ้าพนักงานเชิญเหล้าองุ่น แทนที่เขาจะช่วยโยเชฟให้ออกจากคุกกลับลืม ในที่สุดเมื่อเวลามาถึงเขาสามารถไปสู่จุดสูงสุดประสบความสำเร็จได้อย่างงดงาม ชีวิตของโยเซฟเป็นชีวิตที่มีความพิเศษมาก เขาสามารถรักษาจิตใจที่แข็งแกร่งได้เสมอแม้จะผิดหวังหลายต่อหลายครั้ง เขาไม่ต่อว่าอดีต ไม่จดจำความผิด ไม่แก้แค้น ปัญหาชีวิตที่ประดังเข้ามาในชีวิตโยเซฟแทนที่จะทำลายเขาแต่เขาแค่เฉียดตายเท่านั้น เขาสามารถปรับตัวปรับใจให้นิ่งและอยู่ในสภาพรอคอยพระเจ้าได้อย่างอัศจรรย์
Dr. Emil J. Freireich ผู้บุกเบิกวิธีการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว
เจย์ ฟรายไรค์ เป็นหมอที่เปี่ยมไปด้วยพลัง แม้โรคโลคีเมียยังหาวิธีรักษาไม่ได้ แต่เขาไม่ได้หยุดที่มองดูเฉยๆ เด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีเลือดออกที่อวัยวะทุกส่วนทั้งภายนอกและภายในเด็ก 90% ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะเสียชีวิตใน 6 สัปดาห์ พวกเขาจะตกเลือดจนเสียชีวิต ถ้ามีเลือดออกทางปากหรือจมูกจะทานอาหารไม่ได้ ถ้าพยายามทานจะอาเจียนเป็นเลือด ท้องร่วง ในที่สุดจะอยู่ในสภาวะขาดสารอาหารจนเสียชีวิต หรือไม่ก็ติดเชื้อ ปอดอักเสบ ชักเกร็ง และเสียชีวิตไป ฟรายไรค์ร่วมมือกับนักวิจัยและสรุปว่าการขาดเกล็ดเลือดเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเลือดออกไม่หยุด ประเด็นนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่และสุดโต่งมากในสมัยนั้น ในที่สุดการรักษาด้วยการให้เกล็ดเลือดประสบผลสำเร็จ แต่ก็ถือเป็นเรื่องชั่วคราวเพราะยังหาวิธีการจัดการมะเร็งไม่ได้ สภาพของเด็กผู้ป่วยต้องถือว่าแย่มาก ต้องผ่านการเจาะไขสันหลังบ่อยๆ ซึ่งเจ็บมาก ต้องเจาะเลือดแทบทุกวัน แต่เด็กเหล่านั้นมีสภาพไม่ต่างจากชาวลอนดอนที่เฉียดตาย และไม่ตาย เมื่อถูกเจาะสีหน้าจะแย่มาก แต่เมื่อเจาะผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีสีหน้าก็จะกลับมาเหมือนเดิมและดีกว่าเดิม กำลังใจกลับมากกว่าเดิม ความกล้าเพิ่มพูนกว่าเดิม

สิ่งที่ฟรายไรค์ทำต่อคือการใส่ยารักษา 4 ชนิดใส่ในหลอดเดียวกันเพื่อรักษามะเร็ง สิ่งนี้เป็นความคิดนอกกรอบเช่นกัน และอันตรายมากต่อการรักษาเพราะไม่รู้ว่าเด็กๆ จะสามารถทนผลของยาได้หรือไม่ วิธีใช้ยากก็นอกกรอบ เพราะใช้เคมีบำบัดมากกว่า 1 รอบ เป็นเรื่องใหม่เช่นเดียวกันในสมัยนั้น สิ่งนี้ทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยถูกทำลายไปด้วยจนหมด แต่แล้วเมื่อทุกอย่างฟื้นกลับมา เซลมะเร็งก็ถูกกำจัดไปจนหมดเช่นกัน เขาสามารถรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวสำเร็จ ทำให้คนที่ป่วยเป็นลูคีเมียมีโอกาสหายมากถึง 90% ด้วยวิธีรักษาตามแบบของฟรายไรค์

ประเด็นที่น่าคิดคือตัวอย่างคำพยานทั้งหมดที่กล่าวถึงนี้กำลังบอกเราว่าความลำบากในชีวิตไม่ได้ทำลายชีวิตคนเราเสมอไป ในทางกลับกันกลับสร้างให้จิตใจให้เกิดความแข็งแกร่ง เกิดความกล้าหาญ เกิดจิตใจที่หนักแน่นมั่นคงในการเผชิญต่ออุปสรรคปัญหาต่างๆ ได้มากขึ้น และยังเป็นพลังช่วยผลักดันเขาให้ไปสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จได้

ที่มา: Malcolm Gladwell, กลยุทธ์ ล้มยักษ์, 2004.

ความคิดเห็น