เช็งเม้งเป็นเทศกาลระลึกถึงบรรพบุรุษผู้จากไป ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงในการทำสิ่งดีนี้
ทุกวัฒนธรรมต่างมีรากมาจากความเชื่อที่ต่างออกไปอยู่แล้วโดยเฉพาะวัฒนธรรมเอเชียซึ่งผูกติดกับประเพณีที่สะท้อนความเชื่อ เช่น ชีวิตหลังความตาย วิญญาณและการปฏิบัติในพิธีกรรม
อันดับแรกต้องเข้าใจก่อนว่าผู้วายชนม์ไม่ใช่รูปเคารพในความหมายเชิงวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ยกเว้นกรณีผู้วายชนม์ที่ผู้คนตั้งใจยกให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นโดยทั่วไปเราจะไม่มองการปรนนิบัติบรรพบุรุษเป็นเรื่องเดียวกับการปรนนิบัติรูปเคารพครับ
พระคัมภีร์สอนว่าเมื่อมนุษย์ตายไป วิญญาณจะถูกแยกไม่สามารถติดต่อกับโลกได้
การใช้พระคัมภีร์จึงต้องเข้าใจความรู้สึก ต้องมีความรักความเข้าใจ แยกแยะว่าอะไรเป็นประเพณีที่ดีงาม อะไรเป็นส่วนที่เกี่ยวกับความเชื่อที่พอจะยืดหยุ่นได้ หรืออะไรที่ยืดหยุ่นไม่ได้จริงๆ
เรื่องการทานอาหารถวายตามประเพณี มีการอธิบายไว้แล้วใน 1 โครินธ์ 10:23-33 คือทานได้แต่อย่าให้เป็นเหตุให้มโนธรรมของผู้อื่นสะดุด
การจุดธูปหอมถูกใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเพณีความเชื่อและไม่เกี่ยวกับความเชื่อมาอย่างช้านานตลอดวัฒนธรรมของมนุษยชาติ แม้ในศาสนายูดายและคริสต์ก็มีการใช้กำยานในการเผาเครื่องหอมบูชาต่อพระเจ้าด้วย แต่การใช้และรูปแบบประเพณีก็แตกต่างกัน ซึ่งถ้าจะระวังจะเป็นเรื่องการเป็นเหตุให้ผู้อื่นสะดุดในความเชื่อมากกว่า ส่วนตัวไม่มีความกังวลในเรื่องกำยานครับ รูปแบบการใช้ตามแต่ละพิธีกรรมต่างหากที่อาจต้องพิจารณา
การตกแต่งหลุมศพก็เช่นกันสามารถทำได้ตามแต่ละประเพณีครับ ซึ่งความจริงนอกเหนือจากความเชื่อเราสามารถทำอีกหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้เกียรติผู้วายชนม์ได้ครับ เช่น เขียนถึงประวัติคุณงามความดีหรือเล่าประสบการณ์ที่เรามีต่อบรรพบุรุษของเราให้ลูกหลานฟัง เป็นต้น "การแสดงออกถึงการให้เกียรติบรรพบุรุษไม่ใช่เรื่องการปรนนิบัติรูปเคารพแต่อย่างใด"
การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายของศาสนาและประเพณีไม่ใช่เรื่องยากลำบากเลย หากเราเรียนรู้จักการให้เกียรติกัน เข้าใจกันและกันในความจำกัดของแต่ละศาสนาให้มากที่สุด เห็นอกเห็นใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัย และใช้ความพยายามปรับตัวด้วยใจที่ปรารถนาจะรักษาความปรองดองต่อกัน
อ้างอิง
ทุกวัฒนธรรมต่างมีรากมาจากความเชื่อที่ต่างออกไปอยู่แล้วโดยเฉพาะวัฒนธรรมเอเชียซึ่งผูกติดกับประเพณีที่สะท้อนความเชื่อ เช่น ชีวิตหลังความตาย วิญญาณและการปฏิบัติในพิธีกรรม
อันดับแรกต้องเข้าใจก่อนว่าผู้วายชนม์ไม่ใช่รูปเคารพในความหมายเชิงวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ยกเว้นกรณีผู้วายชนม์ที่ผู้คนตั้งใจยกให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นโดยทั่วไปเราจะไม่มองการปรนนิบัติบรรพบุรุษเป็นเรื่องเดียวกับการปรนนิบัติรูปเคารพครับ
พระคัมภีร์สอนว่าเมื่อมนุษย์ตายไป วิญญาณจะถูกแยกไม่สามารถติดต่อกับโลกได้
โยบ 7:9-10 เมฆจางและหายไปฉันใด ผู้ที่ลงไปยังแดนคนตายก็มิได้ขึ้นมาฉันนั้น เขาไม่กลับไปเรือนของเขาอีก และที่อยู่ของเขาก็ไม่รู้จักเขาอีกเลยความรู้สึกโศกเศร้า คิดถึง และวิธีการแสดงออกถึงความรู้สึกกตัญญู จึงเป็นส่วนที่เป็นวิธีการประพฤติปฏิบัติของคนเราในแต่ละประเพณีมาช้านาน
การใช้พระคัมภีร์จึงต้องเข้าใจความรู้สึก ต้องมีความรักความเข้าใจ แยกแยะว่าอะไรเป็นประเพณีที่ดีงาม อะไรเป็นส่วนที่เกี่ยวกับความเชื่อที่พอจะยืดหยุ่นได้ หรืออะไรที่ยืดหยุ่นไม่ได้จริงๆ
เรื่องการทานอาหารถวายตามประเพณี มีการอธิบายไว้แล้วใน 1 โครินธ์ 10:23-33 คือทานได้แต่อย่าให้เป็นเหตุให้มโนธรรมของผู้อื่นสะดุด
1 โครินธ์ 10:25-26 ทุกสิ่งที่ขายตามตลาดเนื้อนั้นรับประทานได้ ไม่ต้องถามอะไรเนื่องจากมโนธรรม เพราะ “แผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในโลกนั้นเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า”แต่ในเรื่องการจัดอาหารหน้าหลุมศพอาจจะเป็นคนละเหตุผล เป็นการแสดงออกที่สะท้อนความเชื่อว่าวิญญาณผู้ตายสามารถขึ้นมาทานอาหารได้จริงๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องความเชื่อที่แตกต่างกัน เป็นส่วนที่คริสเตียนควรพิจารณาหลีกเลี่ยง อย่างไรก็ตามควรแสดงออกด้วยความเคารพในความแตกต่าง และไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรหากช่วยเหลือผู้ใหญ่ยกอาหารหรือเก็บ สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลอะไรต่อความเชื่อของเรา
การจุดธูปหอมถูกใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเพณีความเชื่อและไม่เกี่ยวกับความเชื่อมาอย่างช้านานตลอดวัฒนธรรมของมนุษยชาติ แม้ในศาสนายูดายและคริสต์ก็มีการใช้กำยานในการเผาเครื่องหอมบูชาต่อพระเจ้าด้วย แต่การใช้และรูปแบบประเพณีก็แตกต่างกัน ซึ่งถ้าจะระวังจะเป็นเรื่องการเป็นเหตุให้ผู้อื่นสะดุดในความเชื่อมากกว่า ส่วนตัวไม่มีความกังวลในเรื่องกำยานครับ รูปแบบการใช้ตามแต่ละพิธีกรรมต่างหากที่อาจต้องพิจารณา
การตกแต่งหลุมศพก็เช่นกันสามารถทำได้ตามแต่ละประเพณีครับ ซึ่งความจริงนอกเหนือจากความเชื่อเราสามารถทำอีกหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้เกียรติผู้วายชนม์ได้ครับ เช่น เขียนถึงประวัติคุณงามความดีหรือเล่าประสบการณ์ที่เรามีต่อบรรพบุรุษของเราให้ลูกหลานฟัง เป็นต้น "การแสดงออกถึงการให้เกียรติบรรพบุรุษไม่ใช่เรื่องการปรนนิบัติรูปเคารพแต่อย่างใด"
การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลายของศาสนาและประเพณีไม่ใช่เรื่องยากลำบากเลย หากเราเรียนรู้จักการให้เกียรติกัน เข้าใจกันและกันในความจำกัดของแต่ละศาสนาให้มากที่สุด เห็นอกเห็นใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัย และใช้ความพยายามปรับตัวด้วยใจที่ปรารถนาจะรักษาความปรองดองต่อกัน
อ้างอิง
- คริสเตียนทำได้ไหม? ตอน: งานศพ โดยชมรมนักคิดคริสเตียนไทย
ความคิดเห็น