การมาเป็นคริสเตียน คือการกลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าใหม่อีกครั้งในฐานะที่พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ในสวรรค์ และเราทั้งหลายเป็นบุตรของพระองค์ผู้ได้รับการช่วยกู้โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ทรงจ่ายราคาเป็นค่าไถ่เราออกจากความบาป และพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ลงมาสถิตอยู่กับเรา วิถีชีวิตคริสเตียนจึงเริ่มต้นโดยความเชื่อนี้และดำเนินต่อไปด้วยการรู้จักพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนตลอดชีวิตของเรา (เอเฟซัส 1:18-21)
พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้แต่องค์เดียว ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง ทรงห่วงใยมนุษย์ทุกคนและทรงนำเราให้มาถึงพระคุณความรักพระเจ้าเป็นการส่วนตัว หากเรารู้จักพระเจ้ามากขึ้น เราจะยิ่งซาบซึ้งในความรักความห่วงใยของพระองค์ที่มีต่อเรามากขึ้น และเราจะมีมุมมองใหม่ในการดำเนินชีวิตร่วมกับพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้นตลอดวันคืนแห่งความเชื่อของเรา
1. การกลับใจและบังเกิดใหม่
พระเยซูทรงวายพระชนม์เพื่อเราบนไม้กางเขนนำเรากลับมาหาพระองค์ การกลับใจใหม่จึงเป็นส่วนของเราที่เราต้องตอบสนองต่อพระองค์ด้วยความจริงใจ ซึ่งหากเรามองดูอย่างถี่ถ้วนด้วยใจที่เปิด เราจะพบว่าหลายครั้งพระเจ้าเองทรงเป็นผู้จัดเตรียมสถานการณ์มากมายเพื่อพาให้เรามาถึงจุดนี้
กระบวนการการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณจิตเกิดขึ้นทันทีเมื่อเราตัดสินใจอย่างแท้จริงด้วยการเชื่อและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ ยอมรับตัวเองว่าเป็นคนบาปและเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ที่ทรงกระทำบนไม้กางเขน (ทิตัส 3:5-6)
การกลับใจใหม่ที่แท้จริงคือ การที่เรารู้สึกเสียใจต่อบาป (2 โครินธ์ 7:9, สดุดี 51:1-4) ตัดสินใจหันหลังให้บาปทุกประการ (1 ยอห์น 1:9) เชื่อไว้วางใจพระเยซูคริสต์ (โรม 10:9-10) พระเยซูตรัสว่า "ทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์" (มัทธิว 10:32)
สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์คือการบังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะรอดพ้นจากการพิพากษาให้ตกนรกบึงไฟ ในความเชื่อวางใจในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เราได้รับการชำระบาปและได้รับชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 3:16, โรม 6:23)
2. รู้จักพระเจ้า
พระเจ้าทรงสัมพันธ์กับเราในพระลักษณะที่แตกต่างกันในวาระและเวลา สภาพของพระเจ้าที่ทรงโปรดสำแดงแก่เรามี 3 ลักษณะด้วยกันเรียกว่า “ตรีเอกานุภาพ (Trinity)” คำว่าตรีเอกานุภาพเป็นศัพท์ที่บัญญัติขึ้น เพื่อง่ายต่อการที่เราทั้งหลายจะสามารถเข้าใจพระลักษณะของพระเจ้า โดยอธิบายสภาพความเป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ทรงสภาพในความเป็นบุคคลคือพระบิดา พระบุตรคือพระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4, มัทธิว 3:16-17, โรม 8:9)
พระบิดา (God the Father is the Creator) ทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ พระราชกิจของพระองค์ทรงปรากฏอย่างชัดเจนตลอดพระคัมภีร์โดยเฉพาะพระคัมภีร์เดิม
พระบุตร (God the Son is the Savior) ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเสด็จลงมารับสภาพเป็นมนุษย์ทรงพระนามว่าพระเยซูคริสต์ พระองค์มาเพื่อไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากการพิพากษาเพราะบาป ให้ทุกคนที่เชื่อได้รับชีวิตใหม่ มีชีวิตนิรันดร์ และได้รับการยกฐานะให้เป็นบุตรของพระเจ้า
พระวิญญาณบริสุทธิ์ (God the Holy Spirit is the Sanctifier) ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงประทานชีวิตนิรันดร์ และการชำระให้บริสุทธิ์ ทรงเป็นพระผู้ช่วย ที่สถิตอยู่ในผู้ที่เชื่อทุกคน
3. พระเจ้าคาดหวังให้ชีวิตเราเป็นพระฉายสะท้อนภาพของพระองค์
เราทั้งหลายถูกสร้างขึ้นในพระฉายของพระเจ้า (Image of God) เป็นผู้ที่สะท้อนภาพพระลักษณะของพระเจ้า ไม่มีสิ่งทรงสร้างไหนเลยที่ถูกสร้างตามพระฉายของพระเจ้า พระฉายนั้นเป็นคุณลักษณะชีวิตของเราที่สะท้อนให้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะทรงได้รับเกียรติผ่านชีวิตของเราที่สะท้อนออกมาอย่างถวายเกียรติพระเจ้าเสมอ (ปฐมกาล 1:27, โรม 8:29, โคโลสี 3:8-10)
พระเจ้าทรงคาดหวังให้เรามีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงโดยเราร่วมมือกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้อยู่ในชีวิตเรา แล้วแสดงออกในตัวตนใหม่ที่รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระเจ้าอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น ความบริสุทธิ์ละทิ้งบาป, ความรักที่รักผู้อื่นได้แม้กระทั่งศัตรู, การให้อภัยต่อกันและกันง่ายๆ, การเห็นอกเห็นใจกันและกัน เป็นต้น
4. การอธิษฐาน
เส้นทางแห่งพระคุณและการรู้จักพระเจ้ามากขึ้นนี้เริ่มจากวันที่เราตัดสินใจเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ด้วยความจริงใจ เปิดใจอธิษฐานเชิญพระองค์เข้ามาประทับในใจ ให้พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าของเรา นั่นเป็นก้าวแรกแห่งชีวิตคริสเตียนที่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แม้วันแรกเราจะยังไม่สามารถเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งหมด แต่จากนี้ไปพระเจ้าจะทรงเป็นผู้นำทางเรา และจะทรง เปิดเผยสำแดงความเข้าใจผ่านประสบการณ์แห่งการอธิษฐานส่วนตัวของเรา เมื่อใดที่เราอธิษฐานต่อพระเจ้า พระองค์จะเป็นผู้ประทานคำตอบตามน้ำพระทัยของพระองค์ เราสามารถมั่นใจได้ว่าพระเจ้าที่ทรงรักและเข้าใจเราจะทรงประทานสิ่งที่ดีที่สุดแก่เราอย่างแน่นอน
เราสามารถอธิษฐานทุกวันอย่างน้อย 5 เรื่อง ได้แก่ 1. อธิษฐานสรรเสริญพระเจ้า (สดุดี 106:1) 2. อธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้า (เอเฟซัส 5:20) 3. อธิษฐานสารภาพความบาป (1 ยอห์น 1:9) 4. อธิษฐานเผื่อพี่น้องในคริสตจักร (2 เธสะโลนิกา 1:11) และ 5. อธิษฐานขอในสิ่งที่เราปรารถนา (ยอห์น 14:13-14)
การตั้งเวลาเพื่อการอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ทุกวันเรียกว่า “การเฝ้าเดี่ยว” คริสตจักรหนุนใจให้พี่น้องคริสเตียนเฝ้าเดี่ยวใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้าทุกวันเพื่อชีวิตของเราจะรู้จักพระเจ้าผ่านประสบการณ์การอธิษฐานตลอดจนการใคร่ครวญพระคัมภีร์เพื่อแปรเปลี่ยนประยุกต์มาเป็นชีวิตของเราวันต่อวัน
5. พระคัมภีร์
ในบรรดาหนังสือมากมายในโลกอาจมีหนังสือหลายเล่มที่ช่วยให้เกิดความรู้และการพัฒนาชีวิต แต่ไม่มีหนังสือใดที่มีเอกลักษณ์พิเศษเท่าเทียมกับพระคัมภีร์เลย เพราะพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า เป็นถ้อยคำของพระเจ้าที่ถูกบันทึกไว้อย่างพิถีพิถัน เพื่อเปิดเผยน้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับเราทุกคน พระคัมภีร์จึงเป็นหนังสือที่มีสิทธิอำนาจสูงสุดที่สามารถสั่งสอน วินิจฉัย และชี้ขาดความมุ่งหมายใดใดในชีวิตมนุษย์ได้ (ฮีบรู 4:12) พระคัมภีร์จึงเป็นหนังสือซึ่งมีคุณค่ามหาศาลต่อจิตวิญญาณของเรา และไม่มีหนังสืออื่นใดสามารถเปรียบเทียบได้
พระคัมภีร์ประกอบด้วยหนังสือ 66 เล่ม พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมประกอบด้วยหนังสือ 39 เล่ม พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ประกอบด้วยหนังสือ 27 เล่ม มีผู้เขียนทั้งหมดว่า 40 คน ครอบคลุมเวลาประมาณ 1,500 ปี โดยภาษาที่ใช้มี 3 ภาษาคือ ฮีบรู, อาราเมค, และกรีก หนังสือแต่ละเล่มในพระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นในเวลาต่างกัน โดยผู้เขียนส่วนใหญ่ไม่รู้จักกัน แต่เรื่องราว เนื้อหา และจุดมุ่งหมาย กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างอัศจรรย์ โดยชี้มาถึงเรื่องเดียวกันคือ “แผนการไถ่บาปโดยองพระเยซูคริสต์”
พระคัมภีร์เป็นประโยชน์มากแก่เราในฐานะอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ เพราะชีวิตของเราไม่ได้ประกอบไปด้วยร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ประกอบไปด้วย ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ขณะที่ร่างการต้องการอาหาร จิตใจต้องการความสัมพันธ์กับผู้อื่น จิตวิญญาณก็ต้องการพระคำของพระเจ้า คือพระคัมภีร์ที่จะช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราให้เติบโตขึ้น
มัทธิว 4:4 พระเยซูตรัสว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”
หากร่างกายเราขาดอาหารไม่ได้ จิตวิญญาณเราก็ขาดการอ่านพระคัมภีร์ไม่ได้เช่นกัน พระคัมภีร์จึงเป็นความจำเป็นของชีวิตคริสเตียน เพราะเป็นอาหารฝ่ายจิตวิญญาณของเรา การอ่านพระคัมภีร์ทุกๆ วัน จึงเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตคริสเตียน
พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้แต่องค์เดียว ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง ทรงห่วงใยมนุษย์ทุกคนและทรงนำเราให้มาถึงพระคุณความรักพระเจ้าเป็นการส่วนตัว หากเรารู้จักพระเจ้ามากขึ้น เราจะยิ่งซาบซึ้งในความรักความห่วงใยของพระองค์ที่มีต่อเรามากขึ้น และเราจะมีมุมมองใหม่ในการดำเนินชีวิตร่วมกับพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้นตลอดวันคืนแห่งความเชื่อของเรา
1. การกลับใจและบังเกิดใหม่
พระเยซูทรงวายพระชนม์เพื่อเราบนไม้กางเขนนำเรากลับมาหาพระองค์ การกลับใจใหม่จึงเป็นส่วนของเราที่เราต้องตอบสนองต่อพระองค์ด้วยความจริงใจ ซึ่งหากเรามองดูอย่างถี่ถ้วนด้วยใจที่เปิด เราจะพบว่าหลายครั้งพระเจ้าเองทรงเป็นผู้จัดเตรียมสถานการณ์มากมายเพื่อพาให้เรามาถึงจุดนี้
กระบวนการการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณจิตเกิดขึ้นทันทีเมื่อเราตัดสินใจอย่างแท้จริงด้วยการเชื่อและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ ยอมรับตัวเองว่าเป็นคนบาปและเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ที่ทรงกระทำบนไม้กางเขน (ทิตัส 3:5-6)
การกลับใจใหม่ที่แท้จริงคือ การที่เรารู้สึกเสียใจต่อบาป (2 โครินธ์ 7:9, สดุดี 51:1-4) ตัดสินใจหันหลังให้บาปทุกประการ (1 ยอห์น 1:9) เชื่อไว้วางใจพระเยซูคริสต์ (โรม 10:9-10) พระเยซูตรัสว่า "ทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์" (มัทธิว 10:32)
สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์คือการบังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะรอดพ้นจากการพิพากษาให้ตกนรกบึงไฟ ในความเชื่อวางใจในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เราได้รับการชำระบาปและได้รับชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 3:16, โรม 6:23)
2. รู้จักพระเจ้า
พระเจ้าทรงสัมพันธ์กับเราในพระลักษณะที่แตกต่างกันในวาระและเวลา สภาพของพระเจ้าที่ทรงโปรดสำแดงแก่เรามี 3 ลักษณะด้วยกันเรียกว่า “ตรีเอกานุภาพ (Trinity)” คำว่าตรีเอกานุภาพเป็นศัพท์ที่บัญญัติขึ้น เพื่อง่ายต่อการที่เราทั้งหลายจะสามารถเข้าใจพระลักษณะของพระเจ้า โดยอธิบายสภาพความเป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ทรงสภาพในความเป็นบุคคลคือพระบิดา พระบุตรคือพระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4, มัทธิว 3:16-17, โรม 8:9)
พระบิดา (God the Father is the Creator) ทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ พระราชกิจของพระองค์ทรงปรากฏอย่างชัดเจนตลอดพระคัมภีร์โดยเฉพาะพระคัมภีร์เดิม
พระบุตร (God the Son is the Savior) ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเสด็จลงมารับสภาพเป็นมนุษย์ทรงพระนามว่าพระเยซูคริสต์ พระองค์มาเพื่อไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากการพิพากษาเพราะบาป ให้ทุกคนที่เชื่อได้รับชีวิตใหม่ มีชีวิตนิรันดร์ และได้รับการยกฐานะให้เป็นบุตรของพระเจ้า
พระวิญญาณบริสุทธิ์ (God the Holy Spirit is the Sanctifier) ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงประทานชีวิตนิรันดร์ และการชำระให้บริสุทธิ์ ทรงเป็นพระผู้ช่วย ที่สถิตอยู่ในผู้ที่เชื่อทุกคน
3. พระเจ้าคาดหวังให้ชีวิตเราเป็นพระฉายสะท้อนภาพของพระองค์
เราทั้งหลายถูกสร้างขึ้นในพระฉายของพระเจ้า (Image of God) เป็นผู้ที่สะท้อนภาพพระลักษณะของพระเจ้า ไม่มีสิ่งทรงสร้างไหนเลยที่ถูกสร้างตามพระฉายของพระเจ้า พระฉายนั้นเป็นคุณลักษณะชีวิตของเราที่สะท้อนให้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะทรงได้รับเกียรติผ่านชีวิตของเราที่สะท้อนออกมาอย่างถวายเกียรติพระเจ้าเสมอ (ปฐมกาล 1:27, โรม 8:29, โคโลสี 3:8-10)
พระเจ้าทรงคาดหวังให้เรามีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงโดยเราร่วมมือกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้อยู่ในชีวิตเรา แล้วแสดงออกในตัวตนใหม่ที่รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระเจ้าอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น ความบริสุทธิ์ละทิ้งบาป, ความรักที่รักผู้อื่นได้แม้กระทั่งศัตรู, การให้อภัยต่อกันและกันง่ายๆ, การเห็นอกเห็นใจกันและกัน เป็นต้น
4. การอธิษฐาน
เส้นทางแห่งพระคุณและการรู้จักพระเจ้ามากขึ้นนี้เริ่มจากวันที่เราตัดสินใจเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ด้วยความจริงใจ เปิดใจอธิษฐานเชิญพระองค์เข้ามาประทับในใจ ให้พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าของเรา นั่นเป็นก้าวแรกแห่งชีวิตคริสเตียนที่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แม้วันแรกเราจะยังไม่สามารถเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งหมด แต่จากนี้ไปพระเจ้าจะทรงเป็นผู้นำทางเรา และจะทรง เปิดเผยสำแดงความเข้าใจผ่านประสบการณ์แห่งการอธิษฐานส่วนตัวของเรา เมื่อใดที่เราอธิษฐานต่อพระเจ้า พระองค์จะเป็นผู้ประทานคำตอบตามน้ำพระทัยของพระองค์ เราสามารถมั่นใจได้ว่าพระเจ้าที่ทรงรักและเข้าใจเราจะทรงประทานสิ่งที่ดีที่สุดแก่เราอย่างแน่นอน
มัทธิว 7:7-8 พระเยซูกล่าวว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ และทุกคนที่แสวงหาก็พบ ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา”การอธิษฐานเป็นสิ่งที่พระคัมภีร์แนะนำเราให้กระทำทั้งในชีวิตประจำวันและในโอกาสพิเศษ เราอาจจะมีบางเรื่องที่หนักใจอยากทูลต่อพระเจ้าเป็นพิเศษ หรือแม้เราอาจไม่มีอะไรเป็นพิเศษก็ตาม แต่การอธิษฐานนั้นจะช่วยให้เราเกิดความสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งดีมากสำหรับการพัฒนาชีวิตคริสเตียน “ความจำกัดของเราทำให้เรากล้าขอต่อพระเจ้า, ความเข้าใจทำให้เราขออย่างถูกต้อง, ความสนิทสนมทำให้เรากล้ารบเร้าและรู้จักรอคอย” (มัทธิว 26:41, มาระโก 9:29, ลูกา 11:8)
เราสามารถอธิษฐานทุกวันอย่างน้อย 5 เรื่อง ได้แก่ 1. อธิษฐานสรรเสริญพระเจ้า (สดุดี 106:1) 2. อธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้า (เอเฟซัส 5:20) 3. อธิษฐานสารภาพความบาป (1 ยอห์น 1:9) 4. อธิษฐานเผื่อพี่น้องในคริสตจักร (2 เธสะโลนิกา 1:11) และ 5. อธิษฐานขอในสิ่งที่เราปรารถนา (ยอห์น 14:13-14)
การตั้งเวลาเพื่อการอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ทุกวันเรียกว่า “การเฝ้าเดี่ยว” คริสตจักรหนุนใจให้พี่น้องคริสเตียนเฝ้าเดี่ยวใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้าทุกวันเพื่อชีวิตของเราจะรู้จักพระเจ้าผ่านประสบการณ์การอธิษฐานตลอดจนการใคร่ครวญพระคัมภีร์เพื่อแปรเปลี่ยนประยุกต์มาเป็นชีวิตของเราวันต่อวัน
5. พระคัมภีร์
ในบรรดาหนังสือมากมายในโลกอาจมีหนังสือหลายเล่มที่ช่วยให้เกิดความรู้และการพัฒนาชีวิต แต่ไม่มีหนังสือใดที่มีเอกลักษณ์พิเศษเท่าเทียมกับพระคัมภีร์เลย เพราะพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า เป็นถ้อยคำของพระเจ้าที่ถูกบันทึกไว้อย่างพิถีพิถัน เพื่อเปิดเผยน้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับเราทุกคน พระคัมภีร์จึงเป็นหนังสือที่มีสิทธิอำนาจสูงสุดที่สามารถสั่งสอน วินิจฉัย และชี้ขาดความมุ่งหมายใดใดในชีวิตมนุษย์ได้ (ฮีบรู 4:12) พระคัมภีร์จึงเป็นหนังสือซึ่งมีคุณค่ามหาศาลต่อจิตวิญญาณของเรา และไม่มีหนังสืออื่นใดสามารถเปรียบเทียบได้
พระคัมภีร์ประกอบด้วยหนังสือ 66 เล่ม พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมประกอบด้วยหนังสือ 39 เล่ม พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ประกอบด้วยหนังสือ 27 เล่ม มีผู้เขียนทั้งหมดว่า 40 คน ครอบคลุมเวลาประมาณ 1,500 ปี โดยภาษาที่ใช้มี 3 ภาษาคือ ฮีบรู, อาราเมค, และกรีก หนังสือแต่ละเล่มในพระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นในเวลาต่างกัน โดยผู้เขียนส่วนใหญ่ไม่รู้จักกัน แต่เรื่องราว เนื้อหา และจุดมุ่งหมาย กลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างอัศจรรย์ โดยชี้มาถึงเรื่องเดียวกันคือ “แผนการไถ่บาปโดยองพระเยซูคริสต์”
พระคัมภีร์เป็นประโยชน์มากแก่เราในฐานะอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ เพราะชีวิตของเราไม่ได้ประกอบไปด้วยร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ประกอบไปด้วย ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ขณะที่ร่างการต้องการอาหาร จิตใจต้องการความสัมพันธ์กับผู้อื่น จิตวิญญาณก็ต้องการพระคำของพระเจ้า คือพระคัมภีร์ที่จะช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราให้เติบโตขึ้น
มัทธิว 4:4 พระเยซูตรัสว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”
หากร่างกายเราขาดอาหารไม่ได้ จิตวิญญาณเราก็ขาดการอ่านพระคัมภีร์ไม่ได้เช่นกัน พระคัมภีร์จึงเป็นความจำเป็นของชีวิตคริสเตียน เพราะเป็นอาหารฝ่ายจิตวิญญาณของเรา การอ่านพระคัมภีร์ทุกๆ วัน จึงเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตคริสเตียน
ท่านสามารถ download แอปพระคัมภีร์สำหรับมือถือทั้ง Apple และ Android ฟรีได้ที่นี่ https://www.youversion.com/the-bible-app/ สามารถชมคลิปวิธีใช้แอป (ภาษาไทย) ได้ที่นี่ https://youtu.be/AKWZjzZt9tI
6. คริสตจักร ชุมชนของพระเจ้า
คริสตจักรหมายถึงผู้ที่ถูกเรียกให้ออกมาเพื่อเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า หรือชุมชนของพระคริสต์ คริสตจักรจึงไม่ใช่ตัวอาคารหรือสถานที่ แต่หมายถึงผู้ที่กลับใจบังเกิดใหม่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง (1 โครินธ์ 15:3-4) คริสตจักรมีความสำคัญมากต่อผู้เชื่อ เพราะเป็นที่เปิดเผยแผนการของพระเจ้าทั้งส่วนตัวและส่วนรวม เป็นที่ที่สร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณ และเปิดโอกาสให้เราได้รับใช้พระเจ้าร่วมกับพี่น้อง (โรม 12:4-5)
มากกว่ามาร่วมรับพระพรในคริสตจักรทุกวันอาทิตย์ การได้มีส่วนร่วมผูกพันกับพี่น้องในคริสตจักรเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าและเป็นประโยชน์แก่เราอย่างแน่นอน
ถ้าเราสังเกตในพระคัมภีร์เราจะพบว่าพระเจ้าทรงเปรียบคนของพระองค์เหมือนดังแกะซึ่งอยู่ร่วมกันเป็นฝูงซึ่งจำเป็นต้องมีผู้เลี้ยง และพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ของเรา มากกว่านั้นพระองค์ทรงฝากแกะของพระองค์ให้คริสตจักรเพื่อจะดูแลในฝ่ายวิญญาณ คริสตจักรจึงได้จัดการดูแลฝ่ายวิญญาณอย่างเป็นระเบียบเพื่อเป็นพรต่อพี่น้องคริสเตียนทุกคน ฉะนั้นความตั้งใจผูกพันตัวในครอบครัวฝ่ายวิญญาณของเราจะเปิดโอกาสและอนุญาตให้ผู้เลี้ยงสามารถเข้ามาแนะนำเอาใจใส่ฝ่ายวิญญาณของเราได้ (มัทธิว 28:18, ฮีบรู 13:17, 1 เปโตร 5:2-4, เอเฟซัส 4:12-14)
ขอพระเจ้าอวยพระพรพี่น้องให้มั่นใจในความรอด ตั้งใจเรียนรู้จักพระเจ้าผ่านประสบการณ์การอธิษฐาน เฝ้าเดี่ยว และการอ่านพระคัมภีร์ คริสตจักรและผู้เลี้ยงทุกท่านมีความยินดีที่จะช่วยเหลือแนะนำท่านในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้าเสมอ
ท่านสามารถติดต่อคริสตจักรได้ที่
คริสตจักรกิจการของพระคริสต์ (ภายใต้องค์กรฮิม ไทยแลนด์ สังกัดสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย)
6. คริสตจักร ชุมชนของพระเจ้า
คริสตจักรหมายถึงผู้ที่ถูกเรียกให้ออกมาเพื่อเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า หรือชุมชนของพระคริสต์ คริสตจักรจึงไม่ใช่ตัวอาคารหรือสถานที่ แต่หมายถึงผู้ที่กลับใจบังเกิดใหม่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง (1 โครินธ์ 15:3-4) คริสตจักรมีความสำคัญมากต่อผู้เชื่อ เพราะเป็นที่เปิดเผยแผนการของพระเจ้าทั้งส่วนตัวและส่วนรวม เป็นที่ที่สร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณ และเปิดโอกาสให้เราได้รับใช้พระเจ้าร่วมกับพี่น้อง (โรม 12:4-5)
มากกว่ามาร่วมรับพระพรในคริสตจักรทุกวันอาทิตย์ การได้มีส่วนร่วมผูกพันกับพี่น้องในคริสตจักรเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าและเป็นประโยชน์แก่เราอย่างแน่นอน
ถ้าเราสังเกตในพระคัมภีร์เราจะพบว่าพระเจ้าทรงเปรียบคนของพระองค์เหมือนดังแกะซึ่งอยู่ร่วมกันเป็นฝูงซึ่งจำเป็นต้องมีผู้เลี้ยง และพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ของเรา มากกว่านั้นพระองค์ทรงฝากแกะของพระองค์ให้คริสตจักรเพื่อจะดูแลในฝ่ายวิญญาณ คริสตจักรจึงได้จัดการดูแลฝ่ายวิญญาณอย่างเป็นระเบียบเพื่อเป็นพรต่อพี่น้องคริสเตียนทุกคน ฉะนั้นความตั้งใจผูกพันตัวในครอบครัวฝ่ายวิญญาณของเราจะเปิดโอกาสและอนุญาตให้ผู้เลี้ยงสามารถเข้ามาแนะนำเอาใจใส่ฝ่ายวิญญาณของเราได้ (มัทธิว 28:18, ฮีบรู 13:17, 1 เปโตร 5:2-4, เอเฟซัส 4:12-14)
ขอพระเจ้าอวยพระพรพี่น้องให้มั่นใจในความรอด ตั้งใจเรียนรู้จักพระเจ้าผ่านประสบการณ์การอธิษฐาน เฝ้าเดี่ยว และการอ่านพระคัมภีร์ คริสตจักรและผู้เลี้ยงทุกท่านมีความยินดีที่จะช่วยเหลือแนะนำท่านในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้าเสมอ
ท่านสามารถติดต่อคริสตจักรได้ที่
คริสตจักรกิจการของพระคริสต์ (ภายใต้องค์กรฮิม ไทยแลนด์ สังกัดสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย)
18 รามคำแหง 187/1 แยก 1 มีนบุรี, 10510 กรุงเทพมหานคร
โทรศัพท์: 02 047 5007
อีเมล: aoc.suggestion@gmail.com
Website: actsofchrist.org
Facebook: ActsofChrist
คริสตจักรฯ มีการประชุมนมัสการทุกวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 9:00-12:00 น.
โทรศัพท์: 02 047 5007
อีเมล: aoc.suggestion@gmail.com
Website: actsofchrist.org
Facebook: ActsofChrist
คริสตจักรฯ มีการประชุมนมัสการทุกวันอาทิตย์ตั้งแต่เวลา 9:00-12:00 น.
ความคิดเห็น