โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
เราอาจจะสังเกตว่าทำไมพระคัมภีร์ข้อเดียวกันจึงสามารถถูกใช้ได้เพื่อรับรองความชอบธรรมของมนุษย์จนบางครั้งเราก็สับสนว่าควรตีความพระคัมภีร์อย่างไรจึงจะเหมาะ ทฤษฏีการตีความมีหลากหลาย ผมจะค่อยๆ อธิบาย วันนี้ขอให้ทฤษฏีเดียวคือเรื่อง Theocentric VS Anthropocentric
Theocentric VS Anthropocentric หรือหมายถึง
“พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง” VS “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง”
Theos (พระเจ้า) + Centric (เป็นศูนย์กลาง)
Anthropo (มนุษย์) + Centric (เป็นศูนย์กลาง)
จริงๆ แค่นี้ก็น่าจะรู้แล้วว่าอันไหนถูก แต่ภาคปฏิบัติไม่ง่าน เพราะคนเรามักไม่รู้ตัว เอาแต่ใจ หาพระคัมภีร์มาเสริมเข้าข้างตัวเอง
ทัศนะการตีความพระคัมภีร์ที่ดี (orthodoxy) คือการให้พระประสงค์พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ตีความตามความปรารถนา ตามความต้องการของตัวเราเอง หรือแม้แต่กระแสความนิยมของสังคม
เราต้องถามตัวเองว่า การตัดสินใจในการตีความพระคัมภีร์ของเรา เราเลือกที่จะให้น้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นใหญ่ที่สุดหรือเปล่า เพราะชีวิตจริงเราจะเจอกับเรื่องที่ต้องตัดสินใจมากมายตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น
มีการตีความว่าดาวิดโยนาธานเป็นคู่เกย์ (Anthropocentric) ซึ่งจริงๆ เป็นเรื่องธรรมเนียมของยิวคือการจูบทักทาย เป็นวัฒนธรรมของเขาซึ่งอาจจะไม่เหมือนเรา
ความจริงแท้ในพระคัมภีร์ > หลักศาสนศาสตร์ > Motto คำคม > คำหนุนใจท้าทาย > ประโยคติดปาก
"ความจริงแท้ในพระคัมภีร์" ต้องใหญ่กว่า "หลักศาสนศาสตร์" (ซึ่งอาจเพิ่มเติมมุมมองและเปลี่ยนแปลงได้) ต้องใหญ่กว่า "Motto คำคม" (ใช้ปลุกใจให้ฮึกเหิม) ต้องใหญ่กว่า "คำหนุนใจท้าทาย" (ต้องเข้าใจบริบท) ต้องใหญ่กว่า "ประโยคติดปาก" (ต้องตรวจสอบเยอะหน่อย เพราะบางทีเราก็ชิน)
พระเยซูเคยเตือนไว้ให้เราระมัดระวังในเรื่องนี้
Theocentric VS Anthropocentric หรือหมายถึง
“พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง” VS “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง”
Theos (พระเจ้า) + Centric (เป็นศูนย์กลาง)
Anthropo (มนุษย์) + Centric (เป็นศูนย์กลาง)
จริงๆ แค่นี้ก็น่าจะรู้แล้วว่าอันไหนถูก แต่ภาคปฏิบัติไม่ง่าน เพราะคนเรามักไม่รู้ตัว เอาแต่ใจ หาพระคัมภีร์มาเสริมเข้าข้างตัวเอง
ทัศนะการตีความพระคัมภีร์ที่ดี (orthodoxy) คือการให้พระประสงค์พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ตีความตามความปรารถนา ตามความต้องการของตัวเราเอง หรือแม้แต่กระแสความนิยมของสังคม
เราต้องถามตัวเองว่า การตัดสินใจในการตีความพระคัมภีร์ของเรา เราเลือกที่จะให้น้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นใหญ่ที่สุดหรือเปล่า เพราะชีวิตจริงเราจะเจอกับเรื่องที่ต้องตัดสินใจมากมายตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น
1 ซามูเอล 20:41 เมื่อเด็กนั้นไปแล้ว ดาวิดก็ลุกขึ้นมาจากทางด้านข้างของกองหินซบหน้าลงถึงดิน แล้วย่อตัวลงสามครั้ง และทั้งสองก็จูบกัน และร้องไห้กัน แต่ดาวิดร้องไห้มากกว่าเราจะตีความตอนนี้อย่างไร?
มีการตีความว่าดาวิดโยนาธานเป็นคู่เกย์ (Anthropocentric) ซึ่งจริงๆ เป็นเรื่องธรรมเนียมของยิวคือการจูบทักทาย เป็นวัฒนธรรมของเขาซึ่งอาจจะไม่เหมือนเรา
1 พงศ์กษัตริย์ 11:3 พระองค์ทรงมีมเหสี 700 คน และนางห้าม 300 คน และบรรดามเหสีของพระองค์ก็หันพระทัยของพระองค์ไปเสียแล้วตอนนี้หล่ะ? ซาโลมอนมีภรรยา 700 สนมทั่วไป 300 รวมเป็น 1,000 คน เราขอมีแค่ 2 เอง ทำไมจะไม่ได้ พระคัมภีร์ก็บอกแบบนั้น (Anthropocentric) ข้อนี้ก็เป็นธรรมเนียมสมัยนั้นเหมือนกัน ถ้าอ่านต่อไปเรื่อยๆ จะพบว่าบรรดามเหสีก็สร้างปัญหามากมายทำให้ใจของซาโลมอนและอิสราเอลออกห่างจากพระเจ้าในที่สุด
"ความจริงแท้ในพระคัมภีร์" ต้องใหญ่กว่า "หลักศาสนศาสตร์" (ซึ่งอาจเพิ่มเติมมุมมองและเปลี่ยนแปลงได้) ต้องใหญ่กว่า "Motto คำคม" (ใช้ปลุกใจให้ฮึกเหิม) ต้องใหญ่กว่า "คำหนุนใจท้าทาย" (ต้องเข้าใจบริบท) ต้องใหญ่กว่า "ประโยคติดปาก" (ต้องตรวจสอบเยอะหน่อย เพราะบางทีเราก็ชิน)
พระเยซูเคยเตือนไว้ให้เราระมัดระวังในเรื่องนี้
มาระโก 7:8-9 พวกท่านละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้า และกลับไปยึดถือถ้อยคำของมนุษย์ที่สอนต่อๆ กันมา” พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “วิเศษจริงนะ ที่พวกท่านได้ละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ยึดถือคำสอนที่รับมาจากบรรพบุรุษ
การตีความพระคัมภีร์จึงต้องให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง น้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าต้องปรากฏชัดอย่างไม่มีอคคติ หากเราตีความพระคัมภีร์แบบนี้ เอกภาพในความเชื่อจะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
ความคิดเห็น