สงครามฝ่ายวิญญาณในมุมมองของเปาโล

สงครามฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในการทำงานพันธกิจตั้งแต่สมัยพระเยซูคริสต์ จนถึงคริสตจักรสมัยแรกในหนังสือกิจการของอัครทูต หรือแม้แต่งานพันธกิจในปัจจุบัน เราอาจจะคุ้นเคยกับการอธิษฐานผูกมัดมารซาตานหรืออธิษฐานขับผีซึ่งเป็นสิ่งที่เราเชื่อว่านั่นเป็นการทำสงครามฝ่ายวิญญาณ แต่ความจริงสงครามฝ่ายวิญญาณเป็นมากกว่าการอธิษฐาน
พระเยซูทรงขับผี
สงครามฝ่ายวิญญาณเป็นสภาพของบรรยากาศการต่อสู้ของอำนาจชั่วร้ายของมารซาตานเพื่อแย่งชิงพื้นที่ฝ่ายวิญญาณคือจิตวิญญาณของผู้เชื่อ และหลายครั้งเราคิดไปเองว่าเราเป็นคนบาป ขาดความเชื่อ ไม่มีชีวิตที่ชอบธรรม เราจึงอ่อนกำลังไม่สามารถต่อสู้อะไรกับอำนาจชั่วร้ายได้ หรือบางทีเราคิดว่าเราไม่ได้รับการฝึกฝนมาเฉพาะเจาะจงในเรื่องนี้เราจึงไม่สามารถเอาชนะมารซาตานได้ในสงครามฝ่ายวิญญาณ ข้อสรุปที่น่าสนใจคือ พระคัมภีร์ไม่ได้คาดหวังให้เรา “ต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณ” แต่คาดหวังให้เรา “ประกาศข่าวประเสริฐออกไปด้วยใจกล้าหาญร้อนรน”
เพราะฉะนั้น พวกท่านจงนอบน้อมต่อพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีท่านไป (ยากอบ 4:7)
คำว่าจงต่อสู้ ในภาษากรีก anthistemi หมายถึงการต่อต้านหรือ Resist และในข้อนี้ พระคัมภีร์ให้น้ำหนักที่การนบนอบต่อพระเจ้าไม่ใช่การต่อสู้กับมาร

การสู้รบที่เปาโลมักกล่าวถึงเป็นการสู้รบของเราในระดับของจริยธรรม ปรัชญาจอมปลอม ความคิดที่ผิดที่พยายามดึงคนให้หลงไปจากความเชื่อในทางพระเจ้า (1 ทิโมธี 1:18; 6:12; 2 ทิโมธี 4:7) ส่วนการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณนั้นเปาโลอธิบายอย่างชัดเจนว่าแม้จะมีปัญหามากมายที่ขัดขวางงานพันธกิจ แต่เราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด สิ่งที่ตามองเห็น
เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน (เอเฟซัส 6:12)
คำว่าต่อสู้ ภาษากรีกใช้คำว่า pale หมายถึงการต่อสู้ในลักษณะของมวยปล้ำ
การต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณจึงเป็นการต่อสู้ใน 2 ระดับ คือระดับสถานฟ้าอากาศฝ่ายวิญญาณที่ตามองไม่เห็นซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของมนุษย์แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างทูตสวรรค์ของพระเจ้าและมารซาตาน และระดับของมนุษย์คือการต่อสู้กับแรงต่อต้านในการประกาศข่าวประเสริฐซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้เชื่อโดยมีเป้าหมายเพื่อนำข่าวประเสริฐไปถึงคนมากมาย (Plummer & Terry: 2013, 109-110)
เปาโลยังได้เปรียบเทียบภาพการต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณว่าเราต้องพร้อมโดยการสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า (เอเฟซัส 6:11-18; โรม 6:13; 1 เธสะโลนิกา 5:6-8; 2 โครินธ์ 6:7) โดยรวมเปาโลไม่ได้ลงลึกในความหมายของแต่ละชิ้นในยุทธภัณฑ์อย่างถี่ถ้วนแน่นอน แต่ให้รายละเอียดพอสังเขป พอจะเชื่อมโยงได้กับ “การเตรียมชีวิตในทางพระเจ้าของผู้เชื่อให้พร้อม” มากกว่าการสวมใส่ประเด็นต่างๆ ในรายละเอียดที่เปรียบเทียบกับการแต่งตัวของทหารในการออกรบ แล้วออกไปสู้กับมาร

ยุทธภัณฑ์ประกอบด้วย (1) ความจริงคาดเอว (2) ความชอบธรรมป้องกันอก (3) การประกาศเป็นรองเท้า (4) ความเชื่อเป็นโล่ (5) ความรอดเป็นหมวกเหล็ก (6) ดาบแห่งพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า ในบริบทยังมีเรื่องการอธิษฐานที่ไม่ได้กล่าวเปรียบเทียบเป็นหนึ่งในอุปกรณ์เครื่องแต่งกายในยุทธภัณฑ์ ไม่ได้หมายความว่าการอธิษฐานไม่สำคัญ แต่ทั้งหมดกำลังให้น้ำหนักไปในการเตรียมชีวิตในทางพระเจ้ามากกว่าสิ่งอื่นใด 
วิธีรบของทหารโรมัน
Keener (Plummer & Terry: 2013, 112) ยังอธิบายเพิ่มเติมว่าวิธีการรบที่ตอนนี้ไม่ได้กล่าวถึงแต่เป็นวิธีการที่ทั้งกรีกและโรมันเข้าใจกันดีคือการต่อสู้เป็นหน่วยทหารไม่ใช่คนๆ เดียว เพราะโล่ที่ไว้ด้านหน้าจะเป็นโล่ของทหารแถวหน้าที่เอาไว้สำหรับดัน โล่ในแถวที่ 2 จะชูขึ้นด้านบนเพื่อป้องกันอาวุธจากด้านบน การรบจะเป็นกลุ่มของทหารอยู่เสมอไม่ใช่คนๆ เดียวแม้จะแต่งตัวพร้อมก็ตาม ฉะนั้นการรับใช้และการปกป้องฝ่ายวิญญาณในทางพระเจ้าจึงเป็นเรื่องของกันและกันด้วย ไม่ใช่เราคนเดียวโดยไม่ขึ้นอยู่กับใครทั้งสิ้น

เปาโลอธิบายอย่างชัดเจนว่าคริสเตียนมีชัยชนะเหนือมารได้โดยพระวจนะพระเจ้า ซึ่งเราสามารถเห็นตัวอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงปราบมารซาตานด้วยพระวจนะในครั้งที่พระองค์อดอาหารอยู่ในถิ่นทุรกันดาน และสิ่งที่จะบุกเข้าไปในการต่อสู้อย่างสมบูรณ์คือการประกาศข่าวประเสริฐ เพราะการสวมใส่ยุทธภัณฑ์จะไม่มีประโยชน์เลยหากเราไม่ประกาศข่าวประเสริฐออกไป ด้วยฤทธิ์เดชของข่าวประเสริฐจะทำให้มารซาตานสูญเสียการปกครองในใจของมนุษย์บาปอย่างสิ้นเชิงขณะเดียวกันเราก็ปลอดภัยเพราะเราสวมใส่การเตรียมชีวิตไว้มากมายในฝ่ายวิญญาณ
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพันธกิจของพระเจ้าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก
เปาโลได้อธิบายเพิ่มเติมว่าชีวิตคริสเตียนเราต้องไม่ให้โอกาสแก่มาร ซึ่งหมายถึงการไม่โกหกหลอกลวง การไม่โกรธกัน พูดจาไม่ดีต่อกัน ให้อภัยกันและกัน เลียนแบบชีวิตในพระเจ้า ดำเนินชีวิตในความรัก (เอเฟซัส 4:27-5:2) พระคัมภีร์ยังไม่ให้น้ำหนักที่การอธิษฐานผูกมัดมารซาตาน เอ่ยชื่อมาร ดูหมิ่นมาร ต่อว่ามาร หรือการกระทำใดใดที่เน้นมารมากกว่าพระเจ้า (2 เปโตร 2:10-11; ยูดา 1:8)
โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง คน​เหล่า​นั้น​ที่​ปล่อย​ตัว​ไป​ตาม​กิเลส​ตัณ​หา และ​หมิ่น​ประ​มาท​สิทธิ​อำ​นาจ​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า คน​เหล่า​นี้​โอ​หัง​บัง​อาจ ไม่​กลัว​ที่​จะ​ลบ​หลู่​เทว​ทูต​ผู้​มี​ศักดิ์​ศรี แต่​ส่วน​พวก​ทูต​สวรรค์​แม้​ว่า​มี​กำ​ลัง​และ​ฤทธา​นุภาพ​มาก​กว่า ก็​ไม่​ได้​กล่าว​โทษ​ด้วย​การ​ประ​ณาม​พวก​นั้น​เฉพาะ​พระ​พักตร์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า (2 เปโตร 2:10-11)
ใน​ทำ​นอง​เดียว​กัน​พวก​นัก​เพ้อ​ฝัน​เหล่า​นี้​ทำ​ให้​ตัว​เป็น​มล​ทิน และ​ปฏิ​เสธ​สิทธิ​อำ​นาจ​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า และ​พูด​ลบ​หลู่​เทว​ทูต​ผู้​มี​ศักดิ์​ศรี (ยูดา 1:8)
ไม่ได้หมายความว่าเรากลัวมาร แต่น้ำหนักของเราจะต้องเน้นที่ชีวิตกับพระเจ้า ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และการรับใช้ในการประกาศข่าวประเสริฐมากที่สุด
Spirit Encounter
อย่างไรก็ตามการเผชิญหน้ากับคนที่มีผีสิงเป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณาให้ดี เปาโลเผชิญต่อผีหมอดูที่เมืองฟิลิปปี แต่ไม่ได้ขับไล่ผีทันที เปาโลรออยู่สองสามวัน เป็นไปได้ที่เปาโลกำลังใคร่ครวญเตรียมพร้อมในผลกระทบด้านอื่นๆ ที่จะเข้ามา และในที่สุดเปาโลก็ขับผี คนที่เสียประโยชน์จากการทำนายของผีหมอดูจึงต่อต้านทำร้ายร่างกายเปาโลจนเกิดความวุ่นวาย (กิจการฯ 16:16, 19) การประกาศข่าวประเสริฐของเปาโลที่เมืองเอเฟซัสทำให้เกิดการทิ้งรูปเคารพพระอาเทมิส ผู้เชื่อนำตำราวิทยาคมออกมาเผาไฟ (กิจการฯ 19:18-19) ข่มเหงจึงเกิดขึ้นเพราะพ่อค้าทำรูปเคารพและตำราวิทยาคมเสียผลประโยชน์ เราจะสังเกตว่าการต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณของเปาโลไม่ได้เน้นการขับผี แม้จะมีแต่ก็น้อยมากเมื่อเทียบกับการประกาศข่าวประเสริฐและการสอนพระวจนะ ทั้งนี้เราไม่ได้ปฏิเสธว่าผีไม่มีฤทธิ์เดชหรือเราไม่ต้องขับผี เราพบว่าแม้ในปัจจุบันงานพันธกิจยังเผชิญกับฤทธิ์เดชของผีและเราขับผีเมื่อมีโอกาส แต่จุดเน้นจะเป็นเรื่องการประกาศพระกิตติคุณเสมอ

อ้างอิง: Robert L. Plummer & John Mark Terry. Paul’s Missionary Methods. Inter-vasity press, 2013.

ความคิดเห็น