เหตุการณ์บนถนนดามัสกัส จุดหักเหของเซาโลที่ส่งผลกระทบต่อเราทุกคนแม้ในปัจจุบัน

โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
เซาโล (เปาโล) พบประสบการณ์พิเศษระหว่างเดินทางไปยังเมืองดามัสกัสเพื่อต่อต้านความเชื่อเรื่องพระเยซูเป็นพระคริสต์
เส้นทางจากดามัสกัส ประสบการณ์พิเศษที่เปลี่ยนชีวิตของเซาโลจากผู้เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติของลัทธิยูดาย ผู้ร้อนรนในการยึดมั่นถือมั่นในธรรมบัญญัติ ผู้ต่อต้านคริสเตียนอย่างจริงจังและกว้างขวาง มาเป็นคริสเตียนที่ร้อนรนเอาจริงเอาจัง เป็นอัครทูตของพระคริสต์ที่มีพันธกิจนำข่าวประเสริฐไปถึงคนต่างชาติ เป็นนักศาสนศาสตร์ที่อธิบายพระวจนะอย่างลึกซึ้งทั้งแง่มุมการพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์หรือพระเมสสิยาห์ ความรอดที่มาโดยพระคุณไม่ใช่โดยการประพฤติ การประยุกต์พระวจนะเพื่อใช้จริงในชุมชนของพระเจ้าทั้งคริสเตียนชาวยิวและต่างชาติ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อผู้เชื่ออย่างกว้างขวางจากอดีตจนถึงปัจจุบัน

ประสบการณ์การกลับใจใหม่ของเซาโลระหว่างเดินทางไปยังเมืองดามัสกัสเพื่อจับกุมคริสเตียนเป็นสิ่งที่พิเศษมาก
ด้วยเหตุผลที่เซาโลเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่าคริสเตียนกำลังดูหมิ่นพระเจ้าโดยยกพระเยซูเป็นพระคริสต์หรือพระเมสสิยาห์ที่ชาวยิวรอคอย ซึ่งบรรยากาศขณะนั้นถือว่าความคาดหวังการมาของพระเมสสิยาห์ในฐานะผู้ช่วยกู้ให้รอดของยิวมีความเข้มข้นสูงมาก และการที่เซาโลถือหนังสือเพื่อบุกไปยังดามัสกัสเพื่อจับกุมคริสเตียนเป็นการกระทำที่เขาเองเชื่อว่าถูกต้องชอบธรรมและต้องทำอย่างจริงจัง เป็นได้มากที่เซาโลจะยึดเอาเหตุการณ์การจัดการกับคนนับถือรูปเคารพอย่างรุนแรงที่ชิทธีมในสมัยโมเสสมาเป็นที่ตั้ง (กดว.25:1-5) หรือใช้หลักสมัยมัคคาบีที่จัดการกับคนที่ถือรูปเคารพด้วยความรุนแรงและฉับพลัน (2 มัคคาบี 6:13)
The Road from Damascus หนังสือที่อธิบายจุดเปลี่ยนของเปาโลที่ถนนดามัสกัสอย่างกว้างขวาง
เหตุการณ์บนถนนดามัสกัสได้เปลี่ยนโลกทัศน์ของเซาโลไปตลอดกาล การกลับใจของเปาโล (Paul’s conversion) อาจเป็นคำอธิบายที่แตกต่างจากปัจจุบัน กล่าวคือเปาโลไม่ได้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า เขาไม่ได้เป็นคนไร้ความหวังในพระเจ้า เขาไม่ใช่คนไม่มีธรรมบัญญัติ Bruce Corley (Longenecker: 1997, 16) ได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับการกลับใจของเปาโลบนถนนสู่ดามัสกัสว่าเป็นการตระหนักความจริงว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ สิ่งนี้ส่งผลต่อศาสนศาสตร์ของเขาใน 4 เรื่อง คือ
1. หลักข้อเชื่อเรื่องการไถ่ (Soteriological)
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ที่ทำให้ธรรมบัญญัติสิ้นสุดลง (รม.10:4) การถูกตรึงของพระเยซูคริสต์นำมาซึ่งชัยชนะบาป หลุดจากคำแช่งสาปของธรรมบัญญัติ นำมาซึ่งความรอดบาปซึ่งเป็นสิ่งที่นอกเหนือจากธรรมบัญญัติ

2. หลักข้อเชื่อเรื่องพระคริสต์ (Christological)
พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ของชาวยิว (กท.1:12) การสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงยุคที่กำลังจะมาซึ่งสำเร็จตามพระสัญญาที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์เดิม

3. หลักข้อเชื่อเรื่องพันธกิจ (Missiological)
เป็นพระประสงค์พระเจ้าที่จะรวบรวมทั้งคนยิวและต่างชาติให้เป็นประชากรของพระองค์ (รม.1:5) ซึ่งเกิดขึ้นได้โดยความเชื่อไม่ใช่โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ทำให้เกิดความชอบธรรมในการทำพันธกิจในระดับโลก

4. หลักข้อเชื่อเรื่องการยกย่องถวายเกียรติ (Doxological)
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นจอมเจ้านาย (2 คร.4:6) ผู้ทรงสมควรได้รับเกียรติและคำสรรเสริญตลอดนิรันดร์

ความชอบธรรมที่มาโดยความเชื่อ (Justification by faith) เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐและศาสนศาสตร์ของเปาโล (รม.4:4-5) เป็นความชอบธรรมที่ไม่ได้มาโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติอีกต่อไป เพราะเมื่อถือธรรมบัญญัติแต่ธรรมบัญญัติกลับถูกใช้เพื่อเป็นความชอบธรรมในการประหารพระเยซูคริสต์ แต่พระเจ้าทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้ฟื้นจากความตายซึ่งเป็นการรับรองพระเยซูคริสต์ไม่ใช่รับรองธรรมบัญญัติ ความชอบธรรมจึงไม่สามารถเกิดขึ้นโดยการรับรองจากธรรมบัญญัติได้อีกต่อไปแต่เกิดขึ้นโดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์ผู้ที่พระเจ้าทรงรับรอง

ความชอบธรรมที่มาโดยความเชื่อทำให้คนต่างชาติที่ไม่มีธรรมบัญญัติสามารถมาถึงความรอดและเป็นประชากรของพระเจ้าไม่ต่างจากชาวยิวที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะคนต่างชาติโดยพื้นฐานไม่มีพระเจ้า ไม่มีธรรมบัญญัติ ไม่มีความหวัง และการประพฤติของเขาก็นำไปสู่ความตายอยู่แล้ว ความชอบธรรมในความรอดของคนต่างชาติจึงอาศัยความเชื่อ ไม่ใช่โดยการประพฤติซึ่งผู้เชื่อยิวก็ต้องเข้าใจเหมือนกัน
อัครทูตเปาโลที่พระเยซูคริสต์ทรงเรียกให้ไปประกาศข่าวประเสริฐยังคนต่างชาติ
ความพยายามชี้ว่าประชากรของพระเจ้าคือทั้งคริสเตียนชาวยิวและผู้เชื่อต่างชาติต้องประพฤติตามธรรมบัญญัติเป็นสิ่งที่เปาโลต่อต้านอยู่เสมอเพราะจุดอ่อนของธรรมบัญญัติที่สำคัญคือการแยกอิสราเอลออกจากประชาชาติในโลกโดยถือหลักการประพฤติตามธรรมบัญญัติเพื่อให้เกิดความชอบธรรมเป็นหลัก โดยเฉพาะการมีพันธสัญญาของอับราฮัม การเข้าสุหนัตซึ่งเป็นการทำเครื่องหมายของพันธสัญญา การถือวันสะบาโต การเพ่งจับผิดเรื่องอาหารสะอาดและไม่สะอาด การร่วมโต๊ะอาหารระหว่างผู้เชื่อชาวยิวและคนต่างชาติ เป็นต้น การกระทำอย่างนั้นแม้จะบอกว่าตนเองเป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ แต่การประพฤติยังไม่หลุดจากการถือตามธรรมบัญญัติ ซึ่งไม่เป็นการยืนยันว่าความชอบธรรมแท้ต้องมาโดยความเชื่อไม่ใช่โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติแต่อย่างใด

ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนในปัจจุบันก็เช่นกัน หากการเน้นการกระทำว่าได้หรือไม่ได้ส่งผลต่อความชอบธรรมโดยมีแนวโน้มไปที่การประพฤติมากกว่าความเชื่อ เราต้องระมัดระวัง เพราะในวัฒนธรรมไทยเป็นสิ่งที่ง่ายที่คนจะยึดถือการประพฤติปฏิบัติตามกฏระเบียบของศาสนาจนเกิดความมั่นใจและถือว่าตนสูงกว่าหรือชอบธรรมมากยิ่งกว่าอีกคนที่ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้เหมือนตน การมาโบสถ์ไม่ขาด การอธิษฐานด้วยความร้อนรนมีวินัย ความสามารถในการรับใช้ เป็นสิ่งที่ดีแต่ต้องออกมาจากความซาบซึ้งในพระคุณของพระเยซูคริสต์มากกว่าการพยายามทำให้ได้ตามความคาดหวังของคริสตจักรในสายตาของผู้จับจ้องซึ่งหากทำแบบนั้นในที่สุดจะไม่ต่างจากยิวที่ถือว่าตนดีกว่าคนที่เหลือที่ไม่สามารถประพฤติตามธรรมบัญญัติที่เขาเชื่อและยึดถือว่าเป็นการรับรองจากพระเจ้าให้ถึงซึ่งความรอด

อ้างอิง:
Richard N. Longenecker, The Road from Damascus
George Eldon Ladd, A Theology of the New Testament

ความคิดเห็น