โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
"พระเจ้าไม่เคยเป็นหนี้ผู้ใด"
ประโยคแบบนี้ฟังดูดีแต่ผมกลับมองว่ามีปัญหาครับ
1. พระเจ้าไม่เคยเป็นหนี้ จะหมายถึงพระเจ้ายืมอะไรสักอย่างจากเรา และทรงคืนสิ่งนั้นแก่เรา พระเจ้าจึงไม่เป็นหนี้ใคร
2. การพูดมักอยู่ในบริบทที่ผู้พูดเสียสละบางอย่างเพื่อทำงานรับใช้พระเจ้า
3. ผู้พูดคาดหวังว่าพระเจ้าจะอวยพรกลับในสิ่งที่เขาคิดว่าเขาต้องเสียไปกับการทำงานรับใช้
เราต้องถามตัวเองว่าพระเจ้ายืมอะไรเราหรือ? ถ้าไม่มีเราพระเจ้าทำอะไรไม่ได้เลยหรือ? ประเด็นที่ถูกต้องจึงน่าจะเป็นการมองว่าการที่พระเจ้าใช้เรา เป็นพระคุณพระเจ้ามากกว่าที่ทรงให้โอกาสเรามีส่วนในงานรับใช้ พัฒนาชีวิตเรา ขัดเกลาเราเพื่อเราจะมีสง่าราศีมากขึ้นในพระองค์ พระองค์ไม่ต้องยืมใคร พระองค์ไม่ต้องเป็นหนี้ใคร พระองค์ต่างหากที่ทรงจ่ายค่าไถ่บาปเพื่อให้เราหลุดพ้นจากบาป "โดยไม่คิดมูลค่า"
แต่หลักพระคุณไม่ใช่เป็นอย่างนั้น เพราะ "ผู้ให้ให้สิ่งที่ผู้รับไม่สามารถหาสิ่งใดมาตอบแทนได้" นั่นคือพระคุณที่พระเจ้ามองให้แก่เราเปล่าๆ เราทำได้เพียงอย่างเดียวคือรับไว้ด้วยใจขอบพระคุณ จากนั้นด้วยใจขอบพระคุณ เราจึงอยากรับใช้พระเจ้า ไม่ใช่เพราะตอบแทนพระองค์ แต่เพราะซาบซึ้งในพระคุณพระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าในลักษณะนี้จึง Healthy มากกว่าครับ
ในอีกมุมหนึ่งพระเยซูและอัครทูตไม่ได้ปล่อยหรือรอให้คนซาบซึ้งใจก่อนแล้วค่อยมารับใช้นะครับ พระเยซูเรียกสาวกให้ตามพระองค์ไป เปาโลเรียกบางคนให้ทำงาน สอน เตือนสติ ควบคุมวินัย เปาโลสอนให้อย่าขาดการประชุม สอนให้ดำเนินการประชุมให้เสริมสร้างไม่ใช่ใช้เสรีภาพอย่างขาดความเข้าใจ เป็นอะไรที่เราต้องคิดและกระทำอย่างสมดุลครับ
ฉะนั้นให้เราอาสาตัวเข้ามารับใช้พระเจ้าด้วยความรู้สึกรักและซาบซึ้งในพระคุณ อย่ารู้สึกว่ากำลังทำบางอย่างเพื่อพระพร หรือย้ำตัวเองด้วยประโยคที่บอกว่า พระเจ้าไม่เคยเป็นหนี้ผู้ใด" เพราะการรับใช้พระเจ้าเป็นสิทธิพิเศษที่เราได้ปรนนิบัติพระองค์ร่วมกับพี่น้องในพระวรกายเพื่อพระเกียรติและพระสิริจะมีแด่พระองค์
"พระเจ้าไม่เคยเป็นหนี้ผู้ใด"
ประโยคแบบนี้ฟังดูดีแต่ผมกลับมองว่ามีปัญหาครับ
1. พระเจ้าไม่เคยเป็นหนี้ จะหมายถึงพระเจ้ายืมอะไรสักอย่างจากเรา และทรงคืนสิ่งนั้นแก่เรา พระเจ้าจึงไม่เป็นหนี้ใคร
2. การพูดมักอยู่ในบริบทที่ผู้พูดเสียสละบางอย่างเพื่อทำงานรับใช้พระเจ้า
3. ผู้พูดคาดหวังว่าพระเจ้าจะอวยพรกลับในสิ่งที่เขาคิดว่าเขาต้องเสียไปกับการทำงานรับใช้
เราต้องถามตัวเองว่าพระเจ้ายืมอะไรเราหรือ? ถ้าไม่มีเราพระเจ้าทำอะไรไม่ได้เลยหรือ? ประเด็นที่ถูกต้องจึงน่าจะเป็นการมองว่าการที่พระเจ้าใช้เรา เป็นพระคุณพระเจ้ามากกว่าที่ทรงให้โอกาสเรามีส่วนในงานรับใช้ พัฒนาชีวิตเรา ขัดเกลาเราเพื่อเราจะมีสง่าราศีมากขึ้นในพระองค์ พระองค์ไม่ต้องยืมใคร พระองค์ไม่ต้องเป็นหนี้ใคร พระองค์ต่างหากที่ทรงจ่ายค่าไถ่บาปเพื่อให้เราหลุดพ้นจากบาป "โดยไม่คิดมูลค่า"
โรม 3:24 แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้วประเด็นนี้สามารถเชื่อมโยงได้กับความคิดเรื่องความสัมพันธ์ในลักษณะการต่างตอบแทน (Transactional relationship) คือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าในลักษณะแลกเปลี่ยน คือเราให้พระเจ้าบางอย่าง พระเจ้าก็จะให้เรากลับมาบางอย่าง (ที่เราหวังว่าจะมากกว่าด้วยซ้ำ)
แต่หลักพระคุณไม่ใช่เป็นอย่างนั้น เพราะ "ผู้ให้ให้สิ่งที่ผู้รับไม่สามารถหาสิ่งใดมาตอบแทนได้" นั่นคือพระคุณที่พระเจ้ามองให้แก่เราเปล่าๆ เราทำได้เพียงอย่างเดียวคือรับไว้ด้วยใจขอบพระคุณ จากนั้นด้วยใจขอบพระคุณ เราจึงอยากรับใช้พระเจ้า ไม่ใช่เพราะตอบแทนพระองค์ แต่เพราะซาบซึ้งในพระคุณพระเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าในลักษณะนี้จึง Healthy มากกว่าครับ
เอเฟซัส 3:18-19 ข้าพเจ้าทูลขอให้ท่านสามารถเข้าใจร่วมกับธรรมิกชนทั้งหมดถึงความกว้าง ความยาว ความสูง และความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้ เพื่อพวกท่านจะได้รับความบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
![]() |
ภาพนี้คนอาจจะชอบแต่ผมคิดว่าสะท้อนมุมมองที่ไม่ครบถ้วนครับ |
ฉะนั้นให้เราอาสาตัวเข้ามารับใช้พระเจ้าด้วยความรู้สึกรักและซาบซึ้งในพระคุณ อย่ารู้สึกว่ากำลังทำบางอย่างเพื่อพระพร หรือย้ำตัวเองด้วยประโยคที่บอกว่า พระเจ้าไม่เคยเป็นหนี้ผู้ใด" เพราะการรับใช้พระเจ้าเป็นสิทธิพิเศษที่เราได้ปรนนิบัติพระองค์ร่วมกับพี่น้องในพระวรกายเพื่อพระเกียรติและพระสิริจะมีแด่พระองค์
ความคิดเห็น
พระเจ้าไม่เคยเป็นหนี้ผู้ใด หมายถึง ไม่มีใครสามารถทำให้พระเจ้าเป็นหนี้ได้ ไม่ว่าจะโดยการถวายตััว ถวายทรัพย์ เวลา กำลัง หรือความสามารถ เพราะทุกสิ่งมาจากพระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์
รม.11:35-36 "หรือใครได้ถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่พระองค์ ที่พระองค์จะต้องตอบแทนเขา? เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ ขอพระเกียรติจงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน"