บุพเพสันนิวาส อะไร ยังไง

โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
ละครบุพเพสันนิวาส ละครดังหลังข่าวที่ดังกระชากเร็ตติ้งสูงสุด จนดังออกมานอกจอคนแห่กันไปชมอยุธยา แต่งตัวแบบไทยโบราณ กินมะม่วงน้ำปลาหวาน กุ้งเผา หมูกระทะ พูดแซวกันว่า ออเจ้า สนุกสนานกันไป
บุพเพสันนิวาสเป็นละครแนวพีเรียดคอมมิดี้ แฟนตาซี อิงประวัติศาสตร์ ประเด็นหลักคือความรักระหว่างพ่อเดช (หมื่นสุนทรเทวา หรือ ขุนศรีวิสารวาจ) กับแม่หญิงการะเกด ที่สลับวิญญาณจากเกศสุรางค์ในปัจจุบันไปยังร่างการะเกดสมัยอยุธยาในแผ่นดินของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ด้วยมนต์กฤษณะกาลี ก็ประมาณนั้น

ก่อนจะไปถึงข้อสรุปว่าบุพเพสันนิวาสเป็นหนังที่ผมคิดอย่างไรในฐานะคริสเตียนคนหนึ่ง ขอให้เรากลับมาตั้งสติกันหน่อย ลองถามตัวเองดูสัก 2 ข้อ คือ
1. เราสามารถแยะแยะได้ไหมระหว่างละครกับความเป็นจริง
2. เราถูกเรื่องราวในละครสั่นสะเทือนถึงความเชื่อหรือมีผลต่อความเชื่อที่ผิดจนถึงระดับรุนแรงหรือไม่

ลองมาดูกันทีละประเด็นครับ

  • ละครคือละครไม่ใช่เรื่องจริง แม้กระทั่งฉากพระเยซูประสูติที่มักเล่นกันในวันคริสต์มาสก็เป็นละคร เพราะละครจะแวดล้อมด้วยบริบทที่คนชมเข้าใจได้อยู่แล้วว่าไม่ใช่เรื่องจริง เช่น นักแสดงก็คือนักแสดง ฉากก็คือฉาก เรื่องก็เสริมแต่งให้เข้าใจได้ในวัฒนธรรมปัจจุบัน วิธีนำเสนอก็ตามยุคสมัย เล่นบนดิน ขึ้นเวที ออกทีวี สร้างเป็นหนัง ก็แล้วแต่ความดังและความตั้งใจในการนำเสนอ
  • บุพเพสันนิวาสคือละคร พีเรียด คอมมิดี้ อิงประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริงทั้งนั้น เพราะจุดประสงค์หลักเพื่อความบันเทิงไม่ใช่เพื่อนำเสนอคอนเซ็ปอะไรบางอย่างให้คนเชื่อตามนั้น ฉะนั้นการสลับวิญญาณไม่จริง, มนต์กฤษณะกาลีไม่มีจริง, รายละเอียดประวัติศาสตร์หลายจุดก็ไม่ตรง
ประเด็นคือสามารถมองข้ามและรับแค่ความบันเทิงได้หรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่คริสเตียนหลายคนมักท้าทายในส่วนนี้ ความกลัวอิทธิพลความคิดของละครจึงเป็นประเด็นหลักที่อาจเป็นกังวล ผมคิดว่าเราต้องกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้งอย่างน้อย 3 เรื่อง

1. เราสามารถแยะแยะได้ไหมระหว่างละครกับความเป็นจริง

ถ้าเราแยกแยะไม่ได้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ อะไรแฟนตาซีอะไรเป็นเรื่องจริง เวลาดูหนังดูละครหรือเสพสื่องานศิลป์ต่างๆ ย่อมเป็นอันตรายต่อตัวเองอยู่แล้ว เพราะเราจะเชื่อไปหมดทุกอย่าง ไม่ก็หวั่นไหวง่ายไปกับทุกเรื่อง ถ้าจะหาทางออกแบบกำปั้นทุบดินคือห้ามดู ก็จะง่ายไปและไม่ได้ฝึกให้คนเกิดการเรียนรู้ในการแยกแยะถูกผิด เวลาเจออะไรใหม่ๆ แปลกๆ และหาคำตอบไม่ได้ ก็จะทำแบบเดิมคือแยกตัวหนีจากสิ่งนั้น สุดท้ายอาจกลายเป็นคนแปลกแยกออกจากสังคมไปเลยก็ได้ครับ แต่ถ้าละครทำให้คุณเชื่อจริงๆ ว่ามนต์กฤษณะกาลีมีผลขนาดสลับวิญญาณข้ามเวลาไปหาอดีตได้ ก็อย่าดูเลยครับ

2. ละครแม้จะให้ความบันเทิงแต่ก็แฝงไว้ด้วยโลกทัศน์ศาสนาความเชื่อของคนไทย

ความเชื่อของคนไทยมีรากฐานมาจากการนับถือผี ศาสนาพราหมณ์ฮินดู ศาสนาพุทธเถรวาท จะเป็นสังคมอยุธยาหรือรัตนโกสินทร์ในปัจจุบันก็ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าคิดว่าโลกทัศน์ละครอันตรายต่อความเชื่อคริสเตียน โลกทัศน์ปัจจุบันก็อันตรายไม่ต่างกัน ประเด็นสำคัญที่เราต้องเรียนรู้คือการรู้จักแยกแยะต่างหากว่าอะไรสะท้อนความเชื่อดั้งเดิม อะไรเป็นเรื่องของความจริงในทางพระเจ้า

3. แม้จะแยกแยะได้ก็ไม่ควรไปสนับสนุน

ผมไม่สนับสนุนอย่างเป็นทางการว่าเรื่องนี้ดี ยอดเยี่ยม ดูได้ ดูเลย เพราะละครเรื่องนี้ไม่ได้ถูกไปเสียทุกเรื่อง และในฐานะผู้สอนพระคัมภีร์ก็จะไม่ดึงข้อคิดจากละครแม้บางตอนอาจจะดี ออกมาสอนหรือเป็นตัวอย่างประกอบสนับสนุนพระคัมภีร์ เพราะตัวอย่างที่สนับสนุนพระคัมภีร์ต้องตรวจสอบที่มาและความถูกต้องอย่างแท้จริงก่อนเสมอ

ละครบุพเพสันนิวาสอาจพาเราให้กลับมาทบทวนก็ได้ว่าสติและการแยกแยะความจริงตามพระคัมภีร์ของเราใช้ได้หรือไม่ หรือเราพร้อมจะเชื่อและหวั่นไหวไปกับโลกแห่งแฟนตาซีแทนที่จะมั่นคงในหลักการของชีวิตหรือไม่ หรือสติสตางค์ไม่อยู่แล้วเมื่อต้องปะทะสายตาของ...คุณพี่

ความคิดเห็น