โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
ผมได้มีโอกาสอ่านดุษฏีนิพนธ์ของ ดร.สตีฟ เทเลอร์ เรื่อง "A Study of the Relationship between Christian Education and the Belief System of Thai Christians" ตีพิมพ์ มิถุนายน 1999 สิ่งที่น่าประทับใจคือมิชชันนารีจากอังกฤษสามารถวิเคราะห์วิจัยเจาะลึกถึงวิธีคิดและวิธีศึกษาเล่าเรียนของคนไทยได้อย่างละเอียดทั้งในแง่มุมประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม อุปนิสัยใจคอ หรือปัญหาของระบบอุปถัมภ์ ส่วนตัวเหมือนได้อ่านจดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ที่เขียนถึงคนไทยในสมัยอยุธยาตอนปลายได้อย่างเห็นภาพ หรือ (แต่ของดร.สตีฟ ไม่เก่าขนาดนั้น)
ผลการทำวิจัยของ ดร.สตีฟ เทเลอร์ พบว่าระบบการศึกษาพระคัมภีร์ของไทยในปัจจุบันยังไม่สามารถให้แนวคิดเกี่ยวกับพระเจ้าแก่คริสเตียนไทยได้อย่างถูกต้อง คริสเตียนไทยยังคงเรียนรู้เรื่องพระเจ้าภายใต้อิทธิพลความคิดของวัฒนธรรมและแนวคิดของศาสนาเดิมอยู่แม้จะได้เรียนพระคัมภีร์ในระบบการศึกษาที่เหมาะสมแล้วก็ตาม
สิ่งนี้สะท้อนในการกระทำของคริสเตียนไทยที่รับใช้หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า คือมีการกระทำเพื่อรับเอาอะไรบางอย่างกลับมาในลักษณะต่างตอบแทน (transactional relationship)
งานวิจัยนี้ได้นำเสนอยุทธวิธีในการเปลี่ยนแปลงระบบการสอนพระคัมภีร์เพื่อให้เป็นที่เข้าใจได้ในบริบทของคนไทยไว้ได้อย่างน่าสนใจ เช่น
1. พระคุณพระเจ้า (Grace)
พระคุณเป็นเรื่องที่พระเจ้าประทานแก่เราโดยให้เปล่าๆ ไม่ต้องการการตอบแทนจากเราด้วยการกระทำความดีตอบ และเราไม่สามารถแม้จะตอบแทนพระเจ้าหรือช่วยอะไรพระเจ้าได้เลย สิ่งที่เราทำได้คือรับด้วยความสำนึกในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราเท่านั้น เรื่องที่ต้องเน้นเกี่ยวกับพระคุณคือการให้อภัยบาปในชีวิตของเรา ไม่ควรเน้นว่าเราจะต้องทำอะไรเพื่อตอบแทนเป็นการขอบคุณ
2. การกล่าวพระกิตติคุณ (Gospel)
คนไทยจะไม่เข้าใจคำว่าพระคุณและมองเรื่องความสัมพันธ์กับพระเจ้าในลักษณะต่างตอบแทน ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องอธิบายเพื่อให้เข้าใจได้อย่างดี และเมื่อกล่าวถึงเรื่องการฟ้องผิดอาจจะเปลี่ยนคำที่คุ้นเคยและเข้าถึงมากกว่าคือคำว่า “อับอาย”
3. การใช้ประโยชน์จากหลักข้อเชื่อ (Creed)
หลักข้อเชื่อ (Creed) เป็นการสรุปและกล่าวซ้ำในข้อสรุปความเชื่อและนำไปใช้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น motto, เพลง, การทองจำ ฯลฯ หลักข้อเชื่อที่ชาวคริสต์คุ้นเคยดีคือ หลักข้อเชื่อของอัครทูต และหลักข้อเชื่อของอาธานาเซีย เป็นต้น
4. ประเด็นรวบรวมการถามตอบข้อสงสัยในหลักข้อเชื่อ (Catechism)
เป็นลักษณะของงานเขียนประเภทรวบรวม ถาม-ตอบ ข้อสงสัยต่างๆ จะช่วยในการตอบคำถามที่เป็นภาคปฏิบัติเพื่อจะเข้าใจในหลักข้อเชื่อต่างๆ ได้ดี เพราะหลายครั้งการเรียนในห้องเรียนกับสิ่งที่พบเห็นในภาคปฏิบัติอาจมีความแตกต่างกัน
5. การออกแบบหลักสูตรการสอนในโรงเรียนพระคริสต์ธรรมและชั้นรวี (Syllabus)
จะต้องออกมาในลักษณะเป็นทางการและชัดเจน เพราะคนไทยไม่มีอุปนิสัยที่จะสามารถศึกษาความรู้ด้วยตัวเอง การออกแบบหลักสูตรที่มีความชัดเจนในเนื้อหาจะทำให้คริสเตียนไทยเข้าใจกรอบการศึกษาได้อย่างชัดเจนไปด้วย ส่วนเนื้อหาการสอนควรเข้าใจวัฒนธรรมไทยและปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับวิธีการรับรู้ของคนไทยเพื่อให้เกิดความเข้าใจในพระคัมภีร์อย่างถูกต้อง
6. สไตล์การสอน (Teaching Style)
คนไทยเคารพให้เกียรติครู ซึ่งดีแต่อาจเกิดช่องว่างในความสัมพันธ์ระหว่างครูและศิษย์ได้ อย่างไรก็ตามยังสามารถรักษารูปแบบของครูผู้ถ่ายทอดความรู้และนักเรียนผู้ให้ความเคารพครูไว้ แต่จะต้องสร้างความใกล้ชิดให้มากขึ้นเพื่อให้ทุกคนรู้สึกถึงความเป็นกันเองในการสอนสร้างสาวกแบบพระเยซู
7. การวางรากฐานเด็ก (Children’s Sunday School)
เพื่อปูพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องในรุ่นต่อไป นำหลักคิดที่ถูกต้องมาสอนคนรุ่นต่อไปเพื่อเขาจะเติบโตขึ้นมาเป็นอีกรุ่นที่เข้าใจพระคัมภีร์ตามความหมายที่ถูกต้องนอกเหนือจากวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อเขา
คริสเตียนไทยควรกลับมาทบทวนการรับรู้ของสมาชิกว่าสิ่งที่เราได้สอนได้ถ่ายทอดไปเป็นสิ่งเดียวกับที่เราตั้งใจหรือเปล่า และหากนำข้อเสนอแนะนี้ไปประยุกต์ใช้ในการวางรากฐานการศึกษาในคริสตจักรก็น่าจะเป็นพระพรอย่างแน่นอนต่อสมาชิกของเรา
อ้างอิง:
Stephen C.R. Taylor, A Study of the Relationship between Christian Education and the Belief System of Thai Christians, Los Angeles, California, June 1999.
ผมได้มีโอกาสอ่านดุษฏีนิพนธ์ของ ดร.สตีฟ เทเลอร์ เรื่อง "A Study of the Relationship between Christian Education and the Belief System of Thai Christians" ตีพิมพ์ มิถุนายน 1999 สิ่งที่น่าประทับใจคือมิชชันนารีจากอังกฤษสามารถวิเคราะห์วิจัยเจาะลึกถึงวิธีคิดและวิธีศึกษาเล่าเรียนของคนไทยได้อย่างละเอียดทั้งในแง่มุมประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม อุปนิสัยใจคอ หรือปัญหาของระบบอุปถัมภ์ ส่วนตัวเหมือนได้อ่านจดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ที่เขียนถึงคนไทยในสมัยอยุธยาตอนปลายได้อย่างเห็นภาพ หรือ (แต่ของดร.สตีฟ ไม่เก่าขนาดนั้น)
ผลการทำวิจัยของ ดร.สตีฟ เทเลอร์ พบว่าระบบการศึกษาพระคัมภีร์ของไทยในปัจจุบันยังไม่สามารถให้แนวคิดเกี่ยวกับพระเจ้าแก่คริสเตียนไทยได้อย่างถูกต้อง คริสเตียนไทยยังคงเรียนรู้เรื่องพระเจ้าภายใต้อิทธิพลความคิดของวัฒนธรรมและแนวคิดของศาสนาเดิมอยู่แม้จะได้เรียนพระคัมภีร์ในระบบการศึกษาที่เหมาะสมแล้วก็ตาม
คริสเตียนไทยยังขาดความเข้าใจอย่างแท้จริงในเรื่อง “พระคุณพระเจ้า” เพราะมักมองไปในการกระทำบางอย่างเพื่อได้รับบางอย่างกลับมาเรื่องที่สำคัญมากแต่คริสเตียนไทยยังขาดความเข้าใจอย่างแท้จริงคือเรื่อง “พระคุณพระเจ้า” เพราะมักจะมองไปในการกระทำบางอย่างเพื่อได้รับบางอย่างกลับมามากกว่าจะเข้าใจคำว่าพระคุณเป็นสิ่งที่พระเจ้าให้เราเปล่าๆ ในส่วนเราเพียงรับพระคุณด้วยความสำนึก
สิ่งนี้สะท้อนในการกระทำของคริสเตียนไทยที่รับใช้หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อตอบแทนพระคุณพระเจ้า คือมีการกระทำเพื่อรับเอาอะไรบางอย่างกลับมาในลักษณะต่างตอบแทน (transactional relationship)
งานวิจัยนี้ได้นำเสนอยุทธวิธีในการเปลี่ยนแปลงระบบการสอนพระคัมภีร์เพื่อให้เป็นที่เข้าใจได้ในบริบทของคนไทยไว้ได้อย่างน่าสนใจ เช่น
1. พระคุณพระเจ้า (Grace)
พระคุณเป็นเรื่องที่พระเจ้าประทานแก่เราโดยให้เปล่าๆ ไม่ต้องการการตอบแทนจากเราด้วยการกระทำความดีตอบ และเราไม่สามารถแม้จะตอบแทนพระเจ้าหรือช่วยอะไรพระเจ้าได้เลย สิ่งที่เราทำได้คือรับด้วยความสำนึกในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราเท่านั้น เรื่องที่ต้องเน้นเกี่ยวกับพระคุณคือการให้อภัยบาปในชีวิตของเรา ไม่ควรเน้นว่าเราจะต้องทำอะไรเพื่อตอบแทนเป็นการขอบคุณ
2. การกล่าวพระกิตติคุณ (Gospel)
คนไทยจะไม่เข้าใจคำว่าพระคุณและมองเรื่องความสัมพันธ์กับพระเจ้าในลักษณะต่างตอบแทน ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องอธิบายเพื่อให้เข้าใจได้อย่างดี และเมื่อกล่าวถึงเรื่องการฟ้องผิดอาจจะเปลี่ยนคำที่คุ้นเคยและเข้าถึงมากกว่าคือคำว่า “อับอาย”
3. การใช้ประโยชน์จากหลักข้อเชื่อ (Creed)
หลักข้อเชื่อ (Creed) เป็นการสรุปและกล่าวซ้ำในข้อสรุปความเชื่อและนำไปใช้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น motto, เพลง, การทองจำ ฯลฯ หลักข้อเชื่อที่ชาวคริสต์คุ้นเคยดีคือ หลักข้อเชื่อของอัครทูต และหลักข้อเชื่อของอาธานาเซีย เป็นต้น
4. ประเด็นรวบรวมการถามตอบข้อสงสัยในหลักข้อเชื่อ (Catechism)
เป็นลักษณะของงานเขียนประเภทรวบรวม ถาม-ตอบ ข้อสงสัยต่างๆ จะช่วยในการตอบคำถามที่เป็นภาคปฏิบัติเพื่อจะเข้าใจในหลักข้อเชื่อต่างๆ ได้ดี เพราะหลายครั้งการเรียนในห้องเรียนกับสิ่งที่พบเห็นในภาคปฏิบัติอาจมีความแตกต่างกัน
5. การออกแบบหลักสูตรการสอนในโรงเรียนพระคริสต์ธรรมและชั้นรวี (Syllabus)
จะต้องออกมาในลักษณะเป็นทางการและชัดเจน เพราะคนไทยไม่มีอุปนิสัยที่จะสามารถศึกษาความรู้ด้วยตัวเอง การออกแบบหลักสูตรที่มีความชัดเจนในเนื้อหาจะทำให้คริสเตียนไทยเข้าใจกรอบการศึกษาได้อย่างชัดเจนไปด้วย ส่วนเนื้อหาการสอนควรเข้าใจวัฒนธรรมไทยและปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับวิธีการรับรู้ของคนไทยเพื่อให้เกิดความเข้าใจในพระคัมภีร์อย่างถูกต้อง
6. สไตล์การสอน (Teaching Style)
คนไทยเคารพให้เกียรติครู ซึ่งดีแต่อาจเกิดช่องว่างในความสัมพันธ์ระหว่างครูและศิษย์ได้ อย่างไรก็ตามยังสามารถรักษารูปแบบของครูผู้ถ่ายทอดความรู้และนักเรียนผู้ให้ความเคารพครูไว้ แต่จะต้องสร้างความใกล้ชิดให้มากขึ้นเพื่อให้ทุกคนรู้สึกถึงความเป็นกันเองในการสอนสร้างสาวกแบบพระเยซู
7. การวางรากฐานเด็ก (Children’s Sunday School)
เพื่อปูพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องในรุ่นต่อไป นำหลักคิดที่ถูกต้องมาสอนคนรุ่นต่อไปเพื่อเขาจะเติบโตขึ้นมาเป็นอีกรุ่นที่เข้าใจพระคัมภีร์ตามความหมายที่ถูกต้องนอกเหนือจากวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อเขา
คริสเตียนไทยควรกลับมาทบทวนการรับรู้ของสมาชิกว่าสิ่งที่เราได้สอนได้ถ่ายทอดไปเป็นสิ่งเดียวกับที่เราตั้งใจหรือเปล่า และหากนำข้อเสนอแนะนี้ไปประยุกต์ใช้ในการวางรากฐานการศึกษาในคริสตจักรก็น่าจะเป็นพระพรอย่างแน่นอนต่อสมาชิกของเรา
อ้างอิง:
Stephen C.R. Taylor, A Study of the Relationship between Christian Education and the Belief System of Thai Christians, Los Angeles, California, June 1999.
ความคิดเห็น