โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
ถ้าเรามองย้อนกลับไปในอดีตหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 เราจะไม่ค่อยพบว่าคริสเตียนไทยมีส่วนร่วมในการจัดการบ้านเมืองหรือเรียกร้องสิทธิ์อะไรนอกจากการอธิษฐานเผื่อบ้านเมืองและผู้ปกครอง แล้วรอคอยการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ถึงแม้อาจจะมีส่วนบ้างแต่จะเป็นแบบเชิงรับคือรอให้เกิดปัญหาขึ้นก่อนแล้วจึงเรียกร้องขึ้นไปเป็นครั้งๆ นโยบายหลักของคริสตจักรที่ผ่านมาจึงเน้นไปที่การดูแลกันภายในและการประกาศข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่พระคัมภีร์พูดไว้อย่างชัดเจนว่าคริสเตียนต้องส่งอิทธิพลที่ดีแก่โลกด้วย
อย่างไรก็ตามเราเกี่ยวข้องกับการเมืองแน่นอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจึงน่าจะกลับมาทบทวนกันใหม่ถึงบทบาทการมีส่วนในสังคมโดยเฉพาะการกลับมาทบทวนถึงหลักการปกครองของพระเจ้า หลักการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบไทยๆ
การปกครองของพระเจ้า (Theocracy) เป็นสิ่งที่คริสเตียนต้องยอมรับเหนือการปกครองในระบบโลกเพราะคริสเตียนเป็นประชากรของอาณาจักรนิรันดร์ของพระเจ้าซึ่งยาวนานถาวรเหนือการปกครองในระบอบใดใดของโลก
การยอมรับการปกครองของพระเจ้า "หมายถึง" การยอมรับและเชื่อฟังระบบการปกครองในประเทศที่เราอยู่ด้วย เพราะเราต้องตระหนักว่าพระเจ้าทรงครอบครองเหนืออธิปไตยในโลก มากกว่านั้นเราต้องเข้าใจว่าการปกครองของรัฐจะช่วยให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่งเสริมความถูกต้อง จัดการกับปัญหาสังคม การออกกฎหมายจะทำโดยการส่งตัวแทนเพื่อให้เกิดกฎหมายที่ชอบธรรม ใช้เพื่อประโยชน์ของคนในชาติ ซึ่งเราจำเป็นต้องยอมรับแม้กฎหมายหรือนโยบายบางอย่างอาจจะสร้างความอึดอัดแก่เราบ้าง
อย่างไรก็ดีการเชื่อฟังสูงสุดแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Obedience) ยังคงต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขการยอมรับในระบอบการปกครองของพระเจ้าเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นการยอมรับแบบครึ่งๆ กลางๆ คือระบอบของพระเจ้าครึ่งและระบอบของมนุษย์อีกครึ่ง
สิ่งนี้ทำให้เราต้องกลับมาพิจารณาเรื่องการยอมรับในอำนาจของรัฐซึ่งไม่ใช่การยอมรับแบบสมบูรณ์โดยไม่มีเงื่อนไขใดใด นั่นหมายถึงหากการปกครองของรัฐไม่ชอบธรรม สิ่งที่คริสเตียนควรทำคือทำความเข้าใจสิ่งนั้นให้ชัดเจนว่าไม่ชอบธรรมอย่างไร แล้วเลือกที่จะตอบสนองทำในที่ถูกต้องชอบธรรมมากกว่า
"เพราะการเงียบโดยไม่พูดไม่แสดงท่าทีหรือแสดงจุดยืนที่ถูกต้องแม้จะรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ถูกจะยิ่งทำให้ความไม่ชอบธรรมแสดงออกแผลงฤทธิ์และลามไปสู่เรื่องอื่นๆ ได้มากขึ้นอย่างน่าตกใจ"
รายการอ้างอิง
ถ้าเรามองย้อนกลับไปในอดีตหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 เราจะไม่ค่อยพบว่าคริสเตียนไทยมีส่วนร่วมในการจัดการบ้านเมืองหรือเรียกร้องสิทธิ์อะไรนอกจากการอธิษฐานเผื่อบ้านเมืองและผู้ปกครอง แล้วรอคอยการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ถึงแม้อาจจะมีส่วนบ้างแต่จะเป็นแบบเชิงรับคือรอให้เกิดปัญหาขึ้นก่อนแล้วจึงเรียกร้องขึ้นไปเป็นครั้งๆ นโยบายหลักของคริสตจักรที่ผ่านมาจึงเน้นไปที่การดูแลกันภายในและการประกาศข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่พระคัมภีร์พูดไว้อย่างชัดเจนว่าคริสเตียนต้องส่งอิทธิพลที่ดีแก่โลกด้วย
มัทธิว 5:16 ทำนองเดียวกันพวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์มากกว่านั้นวงการคริสเตียนส่วนหนึ่งยังเคยประสบกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยวิธีที่ชี้นำคะแนนโหวตอย่างผิดกฎหมาย ทำให้การพูดถึงการเมือง คริสเตียนไทยบางส่วนจึงมองการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเอือมระอา
อย่างไรก็ตามเราเกี่ยวข้องกับการเมืองแน่นอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจึงน่าจะกลับมาทบทวนกันใหม่ถึงบทบาทการมีส่วนในสังคมโดยเฉพาะการกลับมาทบทวนถึงหลักการปกครองของพระเจ้า หลักการปกครองแบบประชาธิปไตยแบบไทยๆ
การปกครองของพระเจ้า (Theocracy) เป็นสิ่งที่คริสเตียนต้องยอมรับเหนือการปกครองในระบบโลกเพราะคริสเตียนเป็นประชากรของอาณาจักรนิรันดร์ของพระเจ้าซึ่งยาวนานถาวรเหนือการปกครองในระบอบใดใดของโลก
การยอมรับการปกครองของพระเจ้า "หมายถึง" การยอมรับและเชื่อฟังระบบการปกครองในประเทศที่เราอยู่ด้วย เพราะเราต้องตระหนักว่าพระเจ้าทรงครอบครองเหนืออธิปไตยในโลก มากกว่านั้นเราต้องเข้าใจว่าการปกครองของรัฐจะช่วยให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่งเสริมความถูกต้อง จัดการกับปัญหาสังคม การออกกฎหมายจะทำโดยการส่งตัวแทนเพื่อให้เกิดกฎหมายที่ชอบธรรม ใช้เพื่อประโยชน์ของคนในชาติ ซึ่งเราจำเป็นต้องยอมรับแม้กฎหมายหรือนโยบายบางอย่างอาจจะสร้างความอึดอัดแก่เราบ้าง
อย่างไรก็ดีการเชื่อฟังสูงสุดแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Obedience) ยังคงต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขการยอมรับในระบอบการปกครองของพระเจ้าเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นการยอมรับแบบครึ่งๆ กลางๆ คือระบอบของพระเจ้าครึ่งและระบอบของมนุษย์อีกครึ่ง
![]() |
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 นับเป็นปรากฏการณ์สำคัญในทางการเมืองของไทยสมัยใหม่ |
"เพราะการเงียบโดยไม่พูดไม่แสดงท่าทีหรือแสดงจุดยืนที่ถูกต้องแม้จะรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ถูกจะยิ่งทำให้ความไม่ชอบธรรมแสดงออกแผลงฤทธิ์และลามไปสู่เรื่องอื่นๆ ได้มากขึ้นอย่างน่าตกใจ"
รายการอ้างอิง
- Gaye, Wlemongar Artemus. Rethinking Nation-Building: A Christian SocioEthical and Theo-Political Task for Appropriating the Common Good. [Doctoral Dissertation], Loyola University Chicago, 2012.
- Mothanaprakoon, Ezra. Έκκλησια And Καισαρ: A New Testament Perspective on the Relationship of the Church to the Civil Government with Reference to Thailand. [Doctoral Dissertation], Asia Baptist Graduate Theological Seminary, 2007.
- Keele, Jeffrey Thomas. Korean Democratization and the Roles of Churches. [Doctoral Dissertation], University of California, Berkeley, 2003.
ความคิดเห็น