โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
วันก่อนผมได้มีโอกาสอ่านงานวิจัยของ ศจ.ดร.บรรพต เมฆสถาพรกุล มีส่วนหนึ่งที่ผมอ่านและประทับใจจึงขออนุญาตนำออกมาขยายความต่อครับ
พระเยซูได้เล่าเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดีที่เดินผ่านมาเห็นชาวยิวคนหนึ่งถูกปล้นและถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสระหว่างทาง เขายื่นมือช่วยเหลือ พาไปพัก และฝากคนให้ดูแล ซึ่งผิดกับคนที่เดินผ่านไป 2 คนที่พระเยซูพูดถึงคือปุโรหิต และเลวี ซึ่งทั้งคู่เป็นชาวยิว และเป็นดังคนของพระเจ้า รู้พระคัมภีร์เป็นอย่างดีแต่ขาดซึ่งความเมตตา พระเยซูทรงตำหนิคนแบบนี้หลายต่อหลายครั้งในพระคัมภีร์ (ลูกา 10:25-37)
คริสตจักรสามารถพิจารณาตัวอย่างของอุปมาของพระเยซูในเรื่องนี้และนำหลักของสะมาเรียผู้ใจดีมาประยุกต์ใช้ และเพิ่มความเมตตาด้วยใจจริงเข้าไปในสิ่งที่เราทำไม่ว่าจะเป็นการประกาศข่าวประเสริฐหรือทำความดีแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยน้ำใสใจจริง เพื่อเขาจะยกย่องสรรเสริญพระเจ้าในที่สุด
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างแก่เราในการปรนบัติมวลชนของพระองค์ขณะที่ทรงรับใช้ในโลก พระองค์ไม่ได้แค่สอนพระคัมภีร์อย่างเดียว ทรงช่วยเหลือคนมากมาย รักษาคนผีเข้า คนตาบอด คนหูหนวก คนเป็นโรคร้ายให้หาย และสิ่งที่สูงค่าที่สุดคือการยอมสละพระชนม์ชีพของพระองค์เองเพื่อเป็นค่าไถ่แก่คนเป็นอันมากให้สามารถกลับมาหาพระเจ้าได้ผ่านการเชื่อและวางใจในพระองค์
1. การประกาศข่าวประเสริฐ (Evangelistic Missions) เป็นงานที่ทำอย่างตรงไปตรงมาโดยมีเป้าหมายเพื่อให้คนได้รับความมรอดเข้ามาผูกพันตัวในคริสตจักรและเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์
2. การเป็นพรแก่สังคมในการรักษาเยียวยาทั้งกายและจิตใจ (Medical Missions) หลายครั้งมีการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่, การเปิดศูนย์ช่วยเหลือบำบัดทางจิต เป็นต้น
3. การให้บริการด้านการศึกษา (Educational Service) เปิดโรงเรียนที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
4. งานมนุษยธรรม (Humanitarian Service) หน่วยงานช่วยเหลือสังคม เช่น ช่วยคนยากไร้, แม่หม้าย, ลูกกำพร้า, คนติดเอดส์, คนพิการ เป็นต้น
บางครั้งเราอาจไม่ต้องมีวาระซ้อนเร้นในการทำดีเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐเสมอไปทุกครั้งก็ได้ เพราะคนจะสัมผัสได้ว่าเราทำดีเพื่อหวังผลบางอย่าง ซึ่งความจริงเราก็หวังผลให้เขามาเชื่อนั่นแหล่ะ แต่อย่าลืมว่าการทำดีแบบทำดีไปเลยด้วยใจจริงไม่มีอะไรซ่อนเร้น คือทำเพื่อให้ความดีปรากฏ ในที่สุดสังคมจะเกิดการรับรู้ได้ว่าเราทำแบบนี้ได้อย่างไรหากไม่มีพระเจ้า ซึ่งจะเกิดผลเป็นการกลับใจใหม่ได้ในที่สุดด้วยตัวของเขาเองที่เห็นความดีที่เราทำจนสรรเสริญพระเจ้า
วันก่อนผมได้มีโอกาสอ่านงานวิจัยของ ศจ.ดร.บรรพต เมฆสถาพรกุล มีส่วนหนึ่งที่ผมอ่านและประทับใจจึงขออนุญาตนำออกมาขยายความต่อครับ
![]() |
ชาวสะมาเรียผู้ใจดี แบบอย่างของการทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน |
คริสตจักรสามารถพิจารณาตัวอย่างของอุปมาของพระเยซูในเรื่องนี้และนำหลักของสะมาเรียผู้ใจดีมาประยุกต์ใช้ และเพิ่มความเมตตาด้วยใจจริงเข้าไปในสิ่งที่เราทำไม่ว่าจะเป็นการประกาศข่าวประเสริฐหรือทำความดีแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยน้ำใสใจจริง เพื่อเขาจะยกย่องสรรเสริญพระเจ้าในที่สุด
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างแก่เราในการปรนบัติมวลชนของพระองค์ขณะที่ทรงรับใช้ในโลก พระองค์ไม่ได้แค่สอนพระคัมภีร์อย่างเดียว ทรงช่วยเหลือคนมากมาย รักษาคนผีเข้า คนตาบอด คนหูหนวก คนเป็นโรคร้ายให้หาย และสิ่งที่สูงค่าที่สุดคือการยอมสละพระชนม์ชีพของพระองค์เองเพื่อเป็นค่าไถ่แก่คนเป็นอันมากให้สามารถกลับมาหาพระเจ้าได้ผ่านการเชื่อและวางใจในพระองค์
โรม 5:6-8 ขณะเมื่อเรายังอ่อนกำลัง พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อคนอธรรมในเวลาที่เหมาะสม อันที่จริง มีน้อยคนนักจะยอมตายเพื่อคนชอบธรรม แต่บางทีจะมีคนยอมตายเพื่อคนดีก็ได้ แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เรา คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเราลักษณะงานรับใช้ที่คริสตจักรสามารถทำได้ และนำมาซึ่งความสมดุลของการประกาศข่าวประเสริฐนำคนกลับใจใหม่ และการทำความดีเพื่อสังคม
1. การประกาศข่าวประเสริฐ (Evangelistic Missions) เป็นงานที่ทำอย่างตรงไปตรงมาโดยมีเป้าหมายเพื่อให้คนได้รับความมรอดเข้ามาผูกพันตัวในคริสตจักรและเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์
2. การเป็นพรแก่สังคมในการรักษาเยียวยาทั้งกายและจิตใจ (Medical Missions) หลายครั้งมีการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่, การเปิดศูนย์ช่วยเหลือบำบัดทางจิต เป็นต้น
3. การให้บริการด้านการศึกษา (Educational Service) เปิดโรงเรียนที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
4. งานมนุษยธรรม (Humanitarian Service) หน่วยงานช่วยเหลือสังคม เช่น ช่วยคนยากไร้, แม่หม้าย, ลูกกำพร้า, คนติดเอดส์, คนพิการ เป็นต้น
บางครั้งเราอาจไม่ต้องมีวาระซ้อนเร้นในการทำดีเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐเสมอไปทุกครั้งก็ได้ เพราะคนจะสัมผัสได้ว่าเราทำดีเพื่อหวังผลบางอย่าง ซึ่งความจริงเราก็หวังผลให้เขามาเชื่อนั่นแหล่ะ แต่อย่าลืมว่าการทำดีแบบทำดีไปเลยด้วยใจจริงไม่มีอะไรซ่อนเร้น คือทำเพื่อให้ความดีปรากฏ ในที่สุดสังคมจะเกิดการรับรู้ได้ว่าเราทำแบบนี้ได้อย่างไรหากไม่มีพระเจ้า ซึ่งจะเกิดผลเป็นการกลับใจใหม่ได้ในที่สุดด้วยตัวของเขาเองที่เห็นความดีที่เราทำจนสรรเสริญพระเจ้า
มัทธิว 5:16 ทำนองเดียวกันพวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์อ้างอิง:
- Banpot Mekstapornkul, a program evaluation of mission strategy of the Maitrichit Chinese Baptist Church in Thailand from 1991-2001, 2004.
- Herbert Kane, Understanding Christian Missions 4th ed., (Grand Rapids MI: Baker Book House, 1986)
ความคิดเห็น