ประวัติศาสตร์การนมัสการในคริสตจักรสมัยแรกจวบจนถึงปัจจุบัน

บรรยากาศการนมัสการวันอาทิตย์ในปัจจุบันเน้นไปที่บทเพลง ดนตรี แสงสีเสียง ระบบ Audio-visual ต่างๆ ซึ่งในความหมายตามพระคัมภีร์แล้วการนมัสการไม่ใช่เป็นเพียงแค่นั้น แต่หากเป็นเรื่องของชีวิตที่ยอมจำนนต่อพระเจ้าและแสดงออกเป็นหลากหลายมุม

(อ่าน "ความหมายการนมัสการของเราตรงกับพระคัมภีร์มากน้อยแค่ไหน" ได้ที่นี่ http://kanok-leelahakriengkrai.blogspot.com/2018/01/blog-post_22.html)

บรรยากาศนมัสการช่วงหลังเทศนาของคริสตจักรร่วมสมัย เพลงนมัสการช่วยในการตอบสนองของที่ประชุมและเสริมให้คำเทศนาแข็งแรงขึ้น

บทความนี้จะนำไปสู่การสำรวจการนมัสการในยุคอดีตในประวัติศาสตร์คริสตจักรจนถึงปัจจุบัน และจะสรุปแนวทางที่น่าเรียนรู้ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้แม้ในปัจจุบัน

ประวัติศาสตร์การนมัสการในคริสตจักรสมัยแรกจวบจนถึงปัจจุบัน

1. คริสตจักรสมัยแรกจนถึงก่อนยุคคอนสแตนติน

รูปแบบของการนมัสการของคริสเตียนในยุคคริสตจักรสมัยแรกออกจากแนวทางของศาสนายูดาห์ (Judaism) ที่เน้นการถวายเครื่องบูชาและระบบศาสนาในเรื่องต่างๆ สู่การให้พระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางอย่างชัดเจน (Departure from Judaism to Christ-centered)

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ในชีวิตผู้เชื่อ ผู้เชื่อจึงเป็นวิหารฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า วิหารที่เยรูซาเล็มจึงถูกลดบทบาทลงและเปลี่ยนไปใช้ในกิจกรรมอย่างอื่นนอกเหนือจากการถวายเครื่องบูชาไถ่บาปแทน

1 โครินธ์ 3:16 ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน

วิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม (ยังคงอยู่จนถึงปี ค.ศ.70) ถูกใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น ใช้สำหรับการอธิษฐาน การประกาศ สั่งสอน การถวายเครื่องหอมบูชา (กิจการของอัครทูต 3:1; 5:21)

การประชุมคริสตจักรมีการนำรูปแบบโปรแกรมในธรรมศาลายิว (Synagogue) มาใช้ เช่น มีระเบียบแบบแผนชัดเจน ใช้เพลงแทรกในระหว่างพิธีการต่างๆ เป็นต้น เมื่อเกิดการข่มเหงใหญ่สถานที่ถูกเปลี่ยนจากการนมัสการตามบ้านลงมายังห้องใต้ดินซึ่งเป็นสถานที่เก็บศพสมัยโบราณ (Catacomb)

Catacombs of San Callisto, Rome มีบันทึกว่าที่นี่บรรจุโครงกระดูกคริสเตียนที่ถูกข่มเหงจนตายถึง 5 แสนโครงเลยทีเดียว

มี 2 เรื่องเท่านั้นที่เกิดขึ้นในการประชุมของคริสเตียนในคริสตจักรสมัยแรก คือ

1. การสั่งสอนพระวจนะ (The Word) และ
2. พิธีหักขนมปัง (The Table of the Lord / The Lord’s Table / The Table)
(ดูใน มัทธิว 26:26-29; มาระโก 14:22-25; ลูกา 22:14-20; 1 โครินธ์ 11:23-26)

ส่วนดนตรีและเพลงจะร้องสลับสอดแทรกอยู่ตลอด 2 กิจกรรมหลักนี้ เป็นการใช้ดนตรีเพื่อสนับสนุน 2 กิจกรรมนี้ให้เด่นชัด เพลงและดนตรีไม่ใช่จุดเด่นในการประชุม

2. ยุคคอนสแตนตินจนถึงยุคกลาง

มีการวางรูปแบบในลักษณะธรรมเนียมการนมัสการ (Liturgy) 2 เรื่องในการประชุม คือ

1. พิธีการด้านพระวจนะ (Liturgy of the Word)
2. พิธีการของห้องชั้นบน (Liturgy of the Upper Room หรือ Sacrament)

เป้าหมายของการนมัสการคือ “การประกาศการวายพระชนม์ของพระเยซูคริสต์และการฟื้นคืนพระชน์ของพระองค์เพื่อไถ่บาปเราทั้งหลาย”

ยุคนี้มีการรับอิทธิพลของธรรมเนียมของกรีกและโรมเข้ามาในพิธีการ ฉะนั้นรูปแบบการนมัสการลดแนวทางตามแบบศาสนายูดายลงไป

3. ยุคกลาง (Medieval Period)

เกิดการเน้นศาสนาในมิติของความลึกลับต่างๆ เช่นการให้ศาสนจักรเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล (เกิดการขัดแย้งกับการพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์), การมีอำนาจตัดสินของศาสนจักรจนถึงชีวิต, การมองพิธีมหาสนิทในมิติของความลึกลับ ขนมปังเปลี่ยนเป็นเนื้อของพระเยซู, น้ำองุ่นเปลี่ยนเป็นพระโลหิตจริงๆ

ความเชื่อในพิธีศีลมหาสนิท (Eucharist) ในยุคกลาง เชื่อว่าขนมปังเปลี่ยนเป็นเนื้อของพระเยซูและน้ำองุ่นเปลี่ยนเป็นพระโลหิตจริงๆ

ยุคนี้มีการพัฒนาการของกลุ่มอาราม (Monasticism) ซึ่งเน้นการแยกตัวออกจากชุมชนเพื่ออธิษฐานนมัสการ ส่วนคนธรรมดาเป็นเพียงผู้ชมในพิธีการต่างๆ เท่านั้น

อารามทรงรังผึ้งของนักบวชกลุ่มอาราม ในไอร์แลนด์ ศตวรรษที่ 8

ลองฟังเพลงในสมัยอารามกันครับ (ปรับปรุงทำนองให้ร่วมสมัย) กดเม้าส์ขวาแล้วเลือก Open link in a new tab เพื่อจะสามารถกลับมาอ่านได้ต่อเนื่อง https://www.youtube.com/watch?v=W-hrBhA4XkM

4. ยุคปฏิรูป Reformation ศตวรรษที่ 16

มาร์ติน ลูเธอร์ กลับมาเน้นพระวจนะมากกว่าการทำพิธีศีลมหาสนิทของโรมันคาทอลิกที่ไร้ความหมายในฝ่ายวิญญาณซึ่งเน้นแต่ข้อห้ามมากมายและการจำกัดสิทธิ์ มีการปฎิเสธพิธีกรรมใดใดที่เป็นทางการและไม่มีความหมาย กลับมาเน้นพระคริสต์เป็นศูนย์กลางในการนมัสการ แต่วิธีการแตกต่างกันมากในแต่ละนิกาย เช่น 

  • กลุ่มต่อต้านพิธีกรรม (Anti-Liturgical Movement) จะปฏิเสธทุกเรื่องที่เป็นพิธีกรรม
  • กลุ่มเน้นการสอนพระวจนะ (Pedagogical worship) เน้นการสั่งสอนพระวจนะแบบลงลึกเป็นหลัก (กลุ่มเพรสไบทีเรียล)
  • กลุ่มเน้นการประกาศ (Evangelistic worship)

ยุคนี้จะเน้นความรู้สึกและอารมณ์ในการแสดงออกถึงความสัมพันธ์กับพระเจ้า, เริ่มอธิษฐานจากใจ, เริ่มใช้เพลงฮิมอย่างจริงจัง (เช่น กลุ่มโมราเวียน) มีศาสนศาสตร์ในเพลงบ้างคือเน้นความรักของพระเยซูคริสต์ที่แสดงออกเป็นการทนทุกข์ทรมานของพระเยซูเพื่อไถ่บาปเรา

5. ยุคฟื้นฟู (Revival Worship) ในศตวรรษที่ 18-19

ในยุคของจอห์น เวสลีย์ (John Wesley), ชาร์ล ฟินนีย์ (Charles Finney), วิลเลี่ยม และแคเธอรีน บูธ (William & Catherine Booth) มีการแต่งเพลงฮิมอย่างมากมาย, พระเจ้าเป็นพระเจ้าส่วนตัว (Personal God), เริ่มใช้ของประทานในคริสตจักรโดยเฉพาะของประทานการสอนและการอธิษฐานคร่ำครวญ

แนวคิดเรื่องพระเจ้าเป็นพระเจ้าส่วนตัวเป็นสิ่งที่คนในปัจจุบันคุ้นเคยดี แต่หากเรากลับไปอยู่ในบรรยากาศสมัยนั้น พระเจ้าในความรู้สึกของคริสเตียนเป็นพระเจ้าที่ห่างไกลมาก เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนธรรมดาไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าทรงเป็นพระเจ้าส่วนตัว ทุกคนสามารถเข้าถึงพระองค์ได้ด้วยตัวเอง

ค่ายของ John Wesley ในปี 1739

สิ่งที่น่าสนใจอีกเรื่องคือในสมัยนี้ (ศตวรรษที่ 19) มีการย้ายนักเทศน์และผู้ประกอบพิธีการต่างๆ มาอยู่กลางห้องประชุม ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบครั้งสำคัญ มีการประกาศและนำรับเชื่อเป็นกลุ่มใหญ่

6. ยุคฤทธิ์เดชพระวิญญาณ (Charismatic renewal) ในศตวรรษที่ 20

ยุคคาริสเมติกตอนต้น (ประมาณปี 1967)

  • มีการใช้ของประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างมากมาย
  • เน้นการพูดภาษาแปลกๆ เป็นหมายสำคัญในการรับฤทธิ์เดชพระวิญญาณ
  • พูดภาษาแปลกๆ ในที่ประชุมจนเป็นที่ถกเถียงในวงกว้างในกลุ่มคริสเตียนทั่วไป (Mainstream Denominations) ว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่
  • มีการร้องเพลงที่คาดหวังความลึกซึ้งของอารมณ์เพลงมากขึ้น

Jesus People Movement (ประมาณปี 1978)

ผลของสงครามโลก สงครามเวียดนาม สงครามเย็น ก่อให้เกิดวัฒนธรรมฮิปปี้ และวัฒนธรรมแบบ Jesus People ในเวลาต่อมา (คนนิยมไว้ผมและหนวดเคราแบบพระเยซู) เพลงเริ่มเปลี่ยนแนวทางเป็นเพลงที่ใช้กีตาร์และออกมาตามท้องถนนมากขึ้น (Street Christians with New Music) ไม่มีความรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ในรูปแบบเดิมอีกต่อไป

กลุ่ม Jesus People

  • Lonnie Frisbee วัยรุ่นฮิปปี้ผู้กลายมาเป็นนักเทศน์ในโบสถ์ Calvary Chapel Costa Mesa ได้เปลี่ยนแนวทางการเทศนาให้ถึงใจวัยรุ่นในสมัยนั้นมากขึ้น จนกระทั่งโบสถ์มีฮิปปี้เข้ามาอย่างมาก คนนิยมใส่กางเกงยีนส์ไว้หนวดเครามาโบสถ์ ทำให้บรรยากาศในโบสถ์ร่วมสมัยมากขึ้น คนไม่รู้สึกแปลกแยกระหว่างเรื่องพระเจ้ากับชีวิตส่วนตัวของเขา

สำหรับ desktop หรือ notebook กรุณากดเม้าส์ขวาแล้วเลือก open link in a new tab เพื่อจะสามารถกลับมาอ่านได้อย่างต่อเนื่อง

ลองฟังคำเทศนาและเพลงในช่วงท้ายของคลิปดูครับ (5.17 นาที) https://www.youtube.com/watch?v=pLYAni77260

  • มีการใช้กีตาร์ในโบสถ์อย่างแพร่หลาย
  • เพลงที่เป็นเอกลักษ์ในยุคนี้คือ “จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า (Seek ye first) โดย Karen Lafferty https://www.youtube.com/watch?v=34LPTkcppOw
  • มีการร้องเพลงจากใจ (Spontaneous Song)
  • ศิลปินที่มีชื่อเสียงในยุค Jesus Music ได้แก่ Barry McGuire, Paul Stookey of Peter, Paul and Mary, Andre Crouch, Keith Green เป็นต้น

ยุคบทเพลงจากพระคัมภีร์ (Scripture in Song) (ประมาณปี 1980)

  • เกิดค่ายเพลงคริสเตียนที่ใช้ดนตรีร่วมสมัย (Contemporary Christian Music) เช่น Maranatha!, Praise and worship, Integrity Hosanna Music
  • ตัวอย่างเพลงจาก Maranatha https://www.youtube.com/watch?v=Ic1UBwVHGGU
  • นำเพลง Hymn มาใส่ดนตรีใหม่ให้ร่วมสมัยมากขึ้น
  • ศิลปินและเพลงที่เป็นนิยมได้แก่ Give thanks (Don Moen) 1986, Forever Grateful (Martin Nystrom) 1988
ยุค Hillsong (1983)

Hillsong Church เป็นคริสตจักรกลุ่มเพ็นเทคอส ตั้งอยู่ที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นคริสตจักรที่มีผู้ร่วมนมัสการถึง 1 แสนคนทุกสัปดาห์ มีการนมัสการแบบคอนเสิร์ท เน้นอารมณ์เพลง เนื้อหาเพลงยาวแต่เต็มไปด้วยศาสนศาสตร์พระคริสต์ของเขาเอง

Darlene Zschech
  • มีการใช้ Audio Visual เต็มรูปแบบ
  • ดนตรีแนวป๊อป ร็อค
  • มีการประสานการนมัสการแบบไม่มีคณะนิกาย
  • เพลง Shout to the Lord ที่เป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน https://www.youtube.com/watch?v=5_aIauL2xKA

ยุคมิลเลเนี่ยม (2000: Diversity and Authenticity)

  • Michael Smith, Matt Redman, Chris Tomlin
Chris Tomlin
  • เพลงเริ่มซับซ้อนและมีศาสนศาสตร์เข้าไปในเพลง
  • เพลง Our God ของ Chris Tomlin แปลเป็นหลายภาษารวมถึงภาษาไทยและเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในคริสตจักรไทยในปัจจุบัน https://www.youtube.com/watch?v=NJpt1hSYf2o

จุดอ่อนของการนมัสการในยุคนี้โดยเฉพาะต้นยุค การให้พระคริสต์เป็นศูนย์กลางถูกละเลยความสำคัญไป การนมัสการไม่เน้นการมอบถวายชีวิตมากกว่าความรู้สึกตามพระวิญญาณซึ่งสุดแล้วแต่จะถูกตีความ อย่างไรก็ดีแต่ตั้งแต่ในยุคมิลเลเนี่ยมมีการปรับแนวทางให้กลับมาเน้นที่พระคริสต์มากขึ้น

ข้อคิดที่ควรพิจารณาและนำไปประยุกต์ปฏิบัติใช้ในปัจจุบัน

  1. พิจารณาใคร่ครวญถึงนิยามของการนมัสการซึ่งแต่เดิมอาจเป็นเรื่องจากความดื่มด่ำของเพลง ไปสู่การยอมจำนนถวายตัวแด่พระเจ้า และแสดงออกเป็นการนบนอบต่อพระเจ้า รับใช้พระองค์ และนำพระวจนะพระเจ้าไปใช้ในวิถีชีวิต
  2. กลับมาเน้นความสำคัญของพิธีมหาสนิท เพื่อให้คริสเตียนเกิดความเข้าใจในพระคุณความรักของพระเยซูที่ทรงไถ่บาปเรา
  3. ควรมีการคัดสรรเพลงที่ใช้ในการร้องในคริสตจักร เน้นเพลงที่ให้ศูนย์กลางของเพลงอยู่ที่พระเจ้า  พระบิดา พระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วจึงตอบสนองว่าเราควรทำหรือเป็นอะไร (Revelation then Response) มากกว่าเพลงที่เน้นว่าเราควรทำอะไรโดยน้ำหนักของเพลงไปอยู่ที่ตัวเรา (Human center)
  4. ยกพระเยซูคริสต์เสมอในการนำนมัสการในเวทีคริสตจักร

คำถามที่เราต้องตอบตัวเอง

การนมัสการในคริสตจักรปัจจุบัน สะท้อนหลักการนมัสการที่แท้จริงและรูปแบบการเน้นในคริสตจักรสมัยต้นอย่างไร?

อ้างอิง

[1] Cherry, Constance M. (2010). Worship Architect: A Blueprint for Designing Culturally Relevant and Biblically Faithful Services, pp.32-33.
[2] Perfetto, Serena. (2015). Learning Rome's history through the oldest Christian catacombs.
[3] Peterson, David. (1992). Engaging with God: A Biblical Theology of Worship. IL: InterVersity Press, pp.248-249.
[4] Raymond, Abba. (1966). Principles of Christian Worship. UK: Oxford University Press, p.48.
[5] Tan, Sooi Ling. (2014). Contemporary Religious Music.
[6] Tan, Sooi Ling. (2018). Lecture in Christian Worship: Biblical and Contextual Perspectives, Doctor of Ministry, AGST Alliance & BBS.
[7] Wright, N.T. (2002). Freedom and Framework, Spirit and Truth: Recovering Biblical Worship. Journal of Studia Liturgica, pp.6-7.

ความคิดเห็น

Unknown กล่าวว่า
เอเมนค่ะ
Unknown กล่าวว่า
ขอบคุณมากค่ะ ให้ข้อคิดที่น่าสนใจ ^.^
Unknown กล่าวว่า
อยากให้คนอ่านบทความนี้ของคุณมาก ๆ เป็นการพิจารณาจากประวัติศาสตร์ ไม่ยึดติดคณะ นิกาย (ไม่ใช่เชิงวิจารณ์ ว่าร้าย) แต่เพื่อในทางภาคปฏิบัติจริงตามพระประสงค์ของพระเจ้า อันนี้เป็นท่าทีแนวเดียวกับเอ็น. ที. ไรท์ (ดูเฟสบุค New Ways Publishing เราเพิ่งพิมพ์ออกหนังสือของเขา พระเจ้ากับโรคระบาดใหญ่คะ ฝากโปรโมทคะ ขอบคุณคะ
kadidodo กล่าวว่า

สรุปได้ดีมากครับ เนื้อหาประวัติศาสตร์ยาวเหยียดจากหนังสือเล่มโต ถูกสรุปออกมาได้อย่างกระชับมาก