ความสำเร็จในงานรับใช้ผ่านแบบอย่างการทำงานของพระเยซู

โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่างานของพระเจ้าได้ถูกประกาศและงอกงามไปแล้วกว่าครึ่งโลก และงานของพระองค์ยังต้องเดินหน้าต่อเพราะยังมีคนอีกมากมายทั้ง "แนวกว้าง" คือบรรดาประชาชาติในโลก และ "แนวลึก" คือคนในรุ่นต่างๆ ของบรรดาประชาชาตินั้นๆ ที่ต้องการข่าวประเสริฐ

คำสั่งของพระเยซูในวาระสุดท้ายก่อนที่จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เป็นการสรุปสิ่งที่พระองค์ทรงคาดหวังในผู้เชื่อกระทำเมื่อพระองค์จากไปแล้ว
มัทธิว 28:19-20 เหตุ​ฉะนั้น​เจ้า​ทั้ง​หลาย​จง​ออกไป​สั่ง​สอน​ชน​ทุก​ชาติ ให้​เป็น​สาวก​ของ​เรา ให้​รับ​บัพติศมา​ใน​พระ​นาม​แห่ง​พระ​บิดา ​พระ​บุตร​และ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​ สอน​เขา​ให้​ถือ​รักษา​สิ่ง​สารพัด​ซึ่ง​เรา​ได้​สั่ง​พวก​เจ้า​ไว้ นี่​แหละ​เรา​จะ​อยู่​กับ​เจ้า​ทั้ง​หลาย​เสมอ​ไป จนกว่า​จะ​สิ้น​ยุค
แบบอย่างทั้งสิ้น วิธีการทั้งหมดที่พระองค์วางไว้ ทำให้สาวกของพระองค์และเราในปัจจุบันสามารถหยิบเอาหลักการและวิธีการออกมาได้อย่างไม่ยากเย็น แม้สภาพแวดล้อมจะแตกต่างกันในยุคของพระองค์กับยุคของเราก็ตาม
พระเยซูทรงสอนประชาชน ขณะเดียวกันก็ทรงทำเป็นแบบให้สาวกดูด้วย
ปัจจุบันเมื่อเราพูดถึงวิธีการประกาศข่าวประเสริฐ เราพบหลากหลายวิธี ทั้งการประกาศโดยตรงของสมาชิก, หลายคริสตจักรอาจใช้วิธีการพึ่งพิงกำลังขององค์กรประกาศต่างๆ ที่ทำงานประกาศโดยตรง, หรืออาจทำงานร่วมกับองค์กรที่ประกาศโดยอ้อมคือรักษาสังคม, ช่วยเหลือคนยากไร้, ทำความดีต่างๆ เพื่อให้คนได้เห็นพระเยซู

แต่งานหลักของคริสเตียนคือการรับใช้เพื่อให้การครอบครองของพระคริสต์เกิดขึ้นในหัวใจของผู้เชื่อ ซึ่งเริ่มด้วยการประกาศข่าวประเสริฐ, รักษาความเชื่อเขาไว้, สร้างเขาจนกลายเป็นสาวกต่อไป, และสร้างจนกว่าเขาจะถือรักษาสิ่งสารพัดที่พระเยซูสอน
ผู้นำที่ดีคือผู้นำที่สร้างผู้นำ นั่นคือสิ่งที่พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เราในการทำพระราชกิจของพระองค์ในโลก
หัวใจที่รักและเห็นคุณค่าข่าวประเสริญคือกุญแจทั้งหมด ถ้าเราไม่เห็นคุณค่าของการไถ่บาปที่พระเจ้าทรงรักและปรารถนาดีต่อมวลมนุษย์จนกระทั่งทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อลงมารับสภาพมนุษย์และรับบาปแทนเราบนไม้กางเขน วิธีการอะไรก็คงเป็นเพียงแผนในกระดาษหรือความรู้ในสมองที่ไม่รู้สึกถึงหัวใจของพระเยซูที่ทรงรักห่วงใยเราขนาดไหน ใจคือสิ่งที่เราต้องสร้างเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ

อย่างไรก็ดี พระเยซูทรงวางแบบอย่างแก่เราไว้ในการสร้างงานของพระองค์อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันคือ "การสร้างสาวก" เราสามารถสังเกตวิธีการของพระองค์ในการสร้างสาวกได้ เช่น

เริ่มต้นจากคนเล็กน้อย

พระเยซูทรงเรียกสาวกทีละคน ทรงเลือกคนที่ตอบสนองพระองค์ไม่ใช่คนที่มีความรู้มีความสามารถอย่างฟาริสี ธรรมาจารย์ หรือนักการศาสนา เพราะคนที่เชื่อฟังและตอบสนองพระองค์จะยอมรับการสอนได้ ซึ่งทำให้งานของพระองค์ถูกถ่ายทอดออกไปอย่างต่อเนื่องแม้ในเวลาที่พระองค์จะต้องจากไปก็ตาม

การสร้างสาวกแบบกลุ่มย่อยในคริสตจักร
คนเล็กน้อยที่พระเยซูทรงเรียกนั้นไม่ใช่คนสมบูรณ์อะไร เขามีข้อจำกัดมากมาย มีความอ่อนแอหลายอย่าง แต่พระองค์ทรงรู้จักเขาในความอ่อนแอ ทรงรู้ว่าจะต้องพาเขาไปไหน และใจของเขาที่นบนอบเชื่อฟังพระองค์จะเป็นสิ่งที่ผลักดันเขาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ปฏิบัติหน้าที่ด้วยพระองค์เองเสมือนเป็นหนึ่งในทีมงาน

อะไรที่พระเยซูทรงสั่งให้สาวกกระทำ พระองค์ล้วนลงมาปฏิบัติด้วยพระองค์เองเป็นแบบอย่างให้สาวกดูทั้งสิ้น

พระเยซูทรงออกไปพบฝูงชน ทรงทำงานอยู่ท่ามกลางประชาชน ทรงประกาศการมาของแผ่นดินของพระเจ้า ทรงรักษาโรค ทรงเลี้ยงดูคนด้วยพระวจนะ และด้วยอาหาร ทรงทำการอัศจรรย์มากมาย ทรงขับผี ทรงเดินบนน้ำ ทรงหยุดพายุ ทรงชุบคนตายให้ฟื้น
คริสตจักรเป็นที่ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมกับผู้นำในการรับใช้พระเจ้าได้
สิ่งที่พระเยซูทรงทำเป็นแบบอย่างทำให้เกิดการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด, ความเข้าใจในงาน, ตลอดจนวิธีการที่พระองค์ใช้ ทั้งหมดนี้ได้ซึมซับเข้าไปในชีวิตของเหล่าสาวก เกิดการเรียนรู้ที่ไม่ใช่จากอ่านหนังสือหรือศึกษาในตำราเรียนเหมือนนักการศาสนาทั้งหลายได้กระทำแต่หากขาดแบบอย่างชีวิตที่แท้จริง

ส่งสาวกให้ออกไปทำงานจริงด้วยตัวเอง

พระเยซูส่งเขาไปเป็นคู่ๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเองในการทำงาน โดยให้ภารกิจชัดเจนคือประกาศการมาของแผ่นดินของพระเจ้า สอน ขับผี และรักษาโรค เป็นต้น เมื่อสาวกกลับมาพระองค์ทรงประเมินผลผ่านการรายงานของเขา เป็นการกำกับการทำงานเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง เราจะพบว่าหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว สาวกทำงานด้วยกันเป็นทีมอย่างดี ออกไปเป็นคู่ๆ เป็นทีมงาน และได้ทำกิจในลักษณะเดียวกันเหมือนกับพระเยซูทรงกระทำในช่วงเวลาของพระองค์บนโลก

ส่งผ่านนิมิตและประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์

คนเล็กน้อยข้อจำกัดเยอะอย่างสาวกพระเยซู เขารู้ว่าจะต้องทำอะไร เพราะอะไร (Vision/Mission) และทำอย่างไร (Strategy) มากไปกว่านั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงอยู่กับเขาและช่วยให้เขาทำกิจของพระองค์จนสำเร็จ หากงานของพระเจ้าเริ่มต้นอย่างเงียบๆ ด้วยคนเพียงเล็กน้อยแต่มีนิมิตและภารใจ เราในปัจจุบันสามารถเลียนแบบวิธีของพระเยซูคือการส่งผ่านนิมิตและภารใจสู่พี่น้องที่เราดูแลเพื่อทุกคนจะลุกขึ้นด้วยหัวใจทำงานของพระเจ้าที่ส่งเป็นทอดๆ จากพระเยซู ด้วยความกระตือรือร้น

สร้างสาวกในทุกที่อย่างต่อเนื่อง

การสร้างสาวกเป็นงานที่เกิดขึ้นจากการถ่ายทอดภารใจ, การฝึกฝนด้วยวิธีการแบบพระเยซู, การไว้วางใจกัน, การให้เกียรติกันในฐานะพี่น้อง ผู้นำ และผู้ตาม, การยอมรับให้อภัยกันในความไม่สมบูรณ์, การเรียนรู้จักพระเจ้าและพระวจนะอย่างต่อเนื่อง, การออกไปแตะคนมากมายที่ยังไม่เชื่อ เป็นต้น งานสร้างสาวกจึงเกิดขึ้นที่คริสตจักรท้องถิ่นเป็นหลัก และนิมิตของเราจึงประยุกต์ในปัจจุบันให้สะท้อนความคิดนี้คือการออกไปตั้งคริสตจักร และให้ผู้เชื่อในคริสตจักรสร้างสาวกอย่างต่อเนื่อง การสร้างสาวกในทุกที่ที่ไปเป็นคำตอบ
บรรยากาศการสอนพระคัมภีร์ในกลุ่มสร้างสรรค์ชีวิต
การเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ใช่เพียงแค่งานสร้างสาวก แต่เป็นทุกเรื่อง หากเราลุกขึ้นยืนหยัดในวิธีการสร้างสาวกตามแบบของพระเยซู เริ่มจากคนเล็กน้อยที่มีนิติและภารใจ ยืนหยัดตามหลักการพระคัมภีร์
หากแรงผลักดันของเรามาจากการเห็นพระคุณความรักพระเจ้าที่ทรงประทานแก่เราจะทำให้เราและผู้เชื่อไม่สามารถอยู่ในสภาพ passive คือเป็นเพียงผู้เชื่อนิ่งๆ มาคริสตจักร มากลุ่มสร้างสรรค์ชีวิตไปวันๆ แต่เขาจะลุกขึ้นรับใช้ตามพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ เป็นสาวกที่ทำงานแบบ active เพื่อให้งานของพระเจ้าเคลื่อนไปข้างหน้าได้รับการสานต่อผ่านรุ่นสู่รุ่น และสุดท้ายเพื่อพระเกียรติสูงสุดจะมีแด่พระเจ้าเพียงผู้เดียว เพื่อพระองค์จะทรงครอบครองเหนือสรรพสิ่งทั้งสิ้นและชีวิตของเราเป็นนิตย์

อ้างอิง: โคลแมน, โรเบิร์ต อี., ศึกษาวิธีการของพระคริสต์, กรุงเทพฯ: กนกบรรณาสาร พิมพ์ครั้งที่ 8, 2015.

ความคิดเห็น