การนมัสการในสมัยพระคัมภีร์เดิม สมัยพระเยซู และในคริสตจักรสมัยแรก

จากตอนที่แล้ว เราพบว่าการนมัสการที่แท้จริงเป็นชีวิตที่ยอมจำนนต่อพระเจ้า สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เราเห็นตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่มมากกว่าเรื่องดนตรีและการร้องเพลง
(อ่านตอนที่แล้ว http://kanok-leelahakriengkrai.blogspot.com/2018/01/blog-post_22.html)
ตอนนี้เราจะมาสำรวจแนวคิดเรื่องการนมัสการในสมัยพระคัมภีร์เดิม, สมัยพระเยซู, และในคริสตจักรสมัยแรกเพื่อพิจารณาความสอดคล้องกันกับแนวคิดนี้ที่สอดแทรกอยู่ในพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่มด้วยกันครับ

การนมัสการในพระคัมภีร์เดิม

หีบพันธสัญญาของพระเจ้า
1. ให้ภาพของศูนย์กลางแห่งการนมัสการคือพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น
มีหลายข้อในพระคัมภีร์เดิมที่อธิบายเรื่องการนมัสการในความหมายของใจที่นบนอบต่อพระเจ้า (Homage to God) พระคัมภีร์เดิม (ฮีบรู) ใช้คำว่า shachah ส่วนพระคัมภีร์ใหม่ (กรีก) proskynein หมายถึงการย่อตัวลงคำนับผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่ามาก เป็นการตระหนักถึงความรักภักดีต่อพระเจ้าเพียงองค์เดียวของอิสราเอลทั้งหมด เช่น ปฐมกาล 17:7, ปฐมกาล 24:26 เป็นต้น
ในพระคัมภีร์ใหม่ได้อธิบายคำนี้ไว้เช่นกัน โดยเฉพาะเหตุการณ์การนมัสการพระกุมารของเหล่าโหราจารย์ (มัทธิว 2:11)
การถวายเครื่องบูชาในพระวิหาร
2. การถวายเครื่องบูชาเป็นสิ่งที่ถูกสั่ง และให้กระทำด้วยใจที่รับใช้พระเจ้า (Service to God)
อพยพ 3:12 … เจ้าทั้งหลายจะมานมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้
ตอนนี้คำว่านมัสการใช้คำว่า `abad หมายถึงการรับใช้พระเจ้า การนมัสการจึงเป็นเรื่องของการยอมจำนนต่อพระเจ้าและแสดงออกเป็นการรับใช้พระเจ้า (Service to God)
เราจะสังเกตได้ว่าแม้การถวายเครื่องบูชาแม้จะเป็นคำสั่งตามธรรมบัญญัติ แต่หากเพียงกระทำตามเพราะเป็นหน้าที่อย่างไร้หัวใจ พระเจ้าก็ทรงตำหนิ
อิสยาห์ 1:11 พระยาห์เวห์ตรัสว่า เครื่องบูชามากมายของเจ้านั้นเป็นประโยชน์อะไรกับเรา?
การรับใช้ด้วยการถวายเครื่องบูชาเป็นงานหลักในพระวิหาร และเมื่อวิหารซาโลมอนสร้างเสร็จแล้ว คนเลวีส่วนหนึ่งได้ทำหน้าที่ร้องเพลงนมัสการ เล่นดนตรี เป็นส่วนหนึ่งในการรับใช้ด้วย เราสามารถพบได้ในพระธรรมสดุดีทั้งเล่ม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การถวายเครื่องบูชาไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ต้องทำด้วยหัวใจที่นบนอบ ไม่ใช่ทำเป็นหน้าที่ตามระบบศาสนา การรับใช้พระเจ้าในคริสตจักรในปัจจุบันก็ไม่ต่างกัน พระเจ้าคาดหวังการรับใช้ที่ออกมาจากใจสมัครและด้วยความยินดีมากกว่าการทำตามหน้าที่ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีความหมาย

3. แสดงออกด้วยการเชื่อฟังพระดำรัสของพระเจ้าในวิถีชีวิต (Respect to God)
อิสยาห์ 1:15-17 เมื่อเจ้ากางมือของเจ้าออกเราจะซ่อนตาของเราเสียจากเจ้า แม้ว่าเจ้าจะอธิษฐานมากมายเราจะไม่ฟัง มือของเจ้าเปรอะไปด้วยโลหิต จงชำระตัว จงทำตัวให้สะอาด จงเอาการกระทำที่ชั่วของเจ้าออกไปให้พ้นจากสายตาของเรา จงเลิกกระทำชั่ว จงฝึกกระทำดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงบรรเทาผู้ถูกบีบบังคับ จงป้องกันให้ลูกกำพร้าพ่อ จงสู้ความเพื่อหญิงม่าย
การแสดงออกของการนมัสการ

ในพระคัมภีร์เดิมทั้งเล่มจึงให้ภาพของการแสดงออกในการนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริงออกมาใน 3 รูปแบบที่อาจมีการผสมทับกันบ้าง แต่ความหมายทั้งหมดต้องมาจากใจที่ยอมรับพระเจ้า ให้เกียรติพระเจ้า และแสดงออกในการรับใช้และนำพระวจนะไปใช้ในวิถีชีวิต

การนมัสการของพระเยซูคริสต์

พระเยซูทรงเชื่อฟังพระบิดาจนกระทั่งมรณาบนกางเขน
ฟีลิปปี 2:5-8 จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้ แต่ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์ พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน
พระคริสต์ทรงยอมสละพระองค์เอง หรือในภาษาเดิมหมายถึงการยอมทำให้ตัวเองว่างเปล่า (Emptied Himself) เพื่อให้น้ำพระทัยของพระบิดาสำเร็จ นั่นเป็นการนมัสการของพระเยซูคือการยอมจำนนต่อพระบิดาอย่างถึงที่สุด
1. พระเยซูคริสต์นบนอบต่อพระบิดา
2. พระเยซูคริสต์กระทำตามพระทัยพระบิดาทุกประการ
3. พระองค์ทรงสอนประชาชนด้วยแบบอย่างชีวิตและการตีความพระวจนะอย่างถูกต้อง
มีเพียงครั้งเดียวที่มีการบันทึกว่าพระเยซูและสาวกร้องเพลงสรรเสริญคือหลังจากที่พระเยซูทรงตั้งพิธีมหาสนิทก่อนจะไปยังสวนเกทเสมนี ภูเขามะกอกเทศ (มัทธิว 26:30, มาระโก 14:26)


การนมัสการในพระธรรมวิวรณ์และอนาคต

ภาพจำลองการนมัสการในสวรรค์ในพระธรรมวิวรณ์
พระธรรมวิวรณ์ทั้งเล่มบอกถึงการยอมรับให้พระเจ้าเป็นพระเจ้าเดียวเท่านั้นที่สมควรได้รับการนมัสการ พระองค์ทรงเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งทั้งหมดที่ทรงสร้าง
ภาพในวิวรณ์ไม่ได้เป็นเรื่องการร้องเพลงเท่านั้น แต่มีภาพของการคุกเข่าถอดมงกุฎซึ่งหมายถึงการยอมจำนนต่อพระเจ้าในชีวิต, การตั้งบังลังก์สีขาวเพื่อพิพากษามารซาตานและผู้ที่ไม่เชื่อ, การมอบรางวัลแก่ผู้ชอบธรรมเพื่อให้กำลังใจแก่ผู้อ่านพระธรรมวิวรณ์ในเวลานั้น, การมีสถานะเจ้าสาวของพระคริสต์, และการปกครองร่วมกับพระคริสต์ตลอดชั่วนิรันดร์

เราจะพบว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่มเน้นการนมัสการเป็นชีวิตที่ยอมจำนนต่อพระเจ้า ให้พระเจ้าทรงเป็นองค์จอมเจ้านายเหนือชีวิตในทุกๆ ด้าน และเมื่อตระหนักเช่นนี้ การแสดงออกทั้งสิ้นภายนอกจึงสะท้อนออกมาในหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการร้องเพลงนมัสการอย่างถูกต้อง, การรับใช้เสริมสร้างพี่น้องและคริสตจักร, การยอมรับพระวจนะพระเจ้าเพื่อประพฤติปฏิบัติในชีวิตส่วนตัวรวมถึงการสอนออกไป

วันอาทิตย์หรือวันที่เราได้มาพบพี่น้องคริสเตียนตามบ้านในวันธรรมดาจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราอย่างแน่นอนหากเราตระหนักถึงชีวิตแห่งการนมัสการที่ยอมจำนนต่อพระเจ้าเสมอ เพื่อการแสดงออกภายนอกของเราจะยำเกรงพระเจ้า ตั้งใจทำทุกสิ่งที่เสริมสร้างพี่น้องให้เขาจะได้รับการหนุนน้ำใจ มีกำลังใจติดตามพระเจ้าเสมอ และเพื่อเราทุกคนจะสามารถถวายเกียรติพระเจ้าด้วยทั้งสิ้นในชีวิตของเรา อาเมน

อ้างอิง

  • Constance M. Cherry, Worship Architect: A Blueprint for Designing Culturally Relevant and Biblically Faithful Services, (Grand Rapids, MI: Baker Academic, 2010), 32-33.
  • David Peterson. Engaging with God: A Biblical Theology of Worship. (IL: InterVersity Press, 1992), 248-249.
  • N.T. Wright "Freedom and Framework, Spirit and Truth: Recovering Biblical Worship". Journal of Studia Liturgica (2002): 6-7.
  • Tan Sooi Ling, Lecture in Christian Worship: Biblical and Contextual Perspectives, Doctor of Ministry, AGST Alliance & BBS, 2018.

ความคิดเห็น