The Rape of Nanking (หลั่งเลือดที่นานกิง) กับการเมืองแบบไทย ๆ

โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
เรื่องนี้เป็นหนังสือที่อ่านแบบหยุด ๆ อ่าน ๆ เพราะเนื้อหาหนักและน่าอนาถเหลือเกิน อยากเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด ต้องขออภัย ผมจะไม่ลงภาพโหด ๆ ท่านสามารถ search หาได้ทาง Google ครับ
เล่มที่ผมอ่านเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 10 และเชื่อว่าจะต้องพิมพ์อีกเรื่อย ๆ
The Rape of Nanking เมื่อนานกิง เมืองหลวงของกองทัพเจียง ไคเช็ค ถูกตีแตก นายพลเจียง ไคเช็ก สั่งถอนกองกำลังล่วงหน้าทิ้งกองทหารรักษาเมืองไว้อยู่หน่อยหนึ่งกับนายพลที่อยากจะ "กำจัดทิ้งทางการเมือง" ให้รักษาเมือง
เพียงข้ามคืน ทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมืองเหมือนหมาบ้า ทำลายทุกอย่าง ฆ่าทหารและประชาชนไม่เลือกหน้า ข่มขืนและฆ่าผู้หญิงทุกวัยอย่างเหี้ยมโหด คาดการณ์ผู้เสียชีวิตมากกว่า 300,000 คน ตลอดการบุกฆ่าอย่างเหี้ยมโหดใน 6 สัปดาห์
ผ่านมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 จวบจนมาถึงปัจจุบันเป็นเวลา 80 ปีที่ไม่อาจลืมเลือนได้อย่างง่ายดาย แม้ขณะนี้ยังไม่มีการขอโทษอะไรกันอย่างเป็นทางการ ผมได้มีโอกาสคุยกับคนจีนบางคนในประเทศไทย เขาไม่อยากพูดถึงเลย บางคนแอนตี้ไม่กินอาหารญี่ปุ่น ไม่ซื้อสินค้าญี่ปุ่นก็มี
ไอริส จาง ได้เขียนเรื่องนี้ออกมาในปี 2004 หลังจากบรรยายไป 24 ครั้งใน 3 เดือน ที่อเมริกา เธอโดนกระสุนปริศนาเจาะเข้าที่กระโหลกในรถของเธอเองขณะเดินทางในนครซานฟรานซิสโก
บางคนบอกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือสงครามไหน ๆ ก็ลงเอยด้วยความเหี้ยมโหดแบบนี้ทั้งนั้น แต่สำหรับผม การสังหารหมู่ครั้งนี้เป็นสิ่งที่ยากที่จะห้ามไม่ให้เกิด โดยเฉพาะการต่อกรกับทหารญี่ปุ่นที่มีเป้าหมายใหญ่ในการครอบครองเอเซียทั้งหมด เหตุการณ์สังหารหมู่ที่นานกิงจึงเป็นความ “ลงตัว” ของปัจจัยเลวร้ายมากมายอย่างน้อย 2 เรื่องคือ

1. ลัทธิคลั่งชาติของญึ่ปุ่น ทหารญี่ปุ่นเลือกที่จะตายเพื่อศักดิ์ศรีมากว่าจะยอมแพ้ พอเห็นทหารจีนเป็นพัน ๆ เข้ามามอบตัวอย่างไร้ศักดิ์ศรี เดินแถวอย่างเป็นระเบียบโดยไม่คิดจะสู้ จึงเกิดความดูถูกดูหมิ่นทหารเหล่านั้น และลงเอยด้วยการสังหารหมู่อย่างไม่เห็นค่าของความเป็นมนุษย์ของทหารจีนเหล่านั้น

2. การตอบสองสัญชาตญาณดิบของทหารที่รับได้ชัยชนะ ทหารญี่ปุ่นไล่ข่มขืนชาวบ้านและฆ่าอย่างไม่เลือกหน้า ข่มขืนทุกวัยตั้งแต่เด็ก 12 ขวบ จนถึงหญิงชราวัย 80 ปี


ภาพเมืองนานกิงในปัจจุบัน
การให้อภัยของชาวนานกิงยังไม่เกิดขึ้นเพราะเนื้อหาหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นยังถูกบิดเบือนด้วยการข้ามการกระทำอันโหดร้ายในนานกิงครั้งนั้นและบอกเพียงว่า ทหารญี่ปุ่นแค่ยึดนานกิงเท่านั้น...

เสียดายประเทศเจ้าของต้นตำรับกลยุทธ์ซุนวูและสามก๊ก กลับต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปทิ้งไว้ซึ่งความเกลียดชังระหว่างประเทศไม่จบไม่สิ้น ไม่เหมือนประเทศไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม สู้กับญี่ปุ่น 2-3 เพลงก็ประกาศยอมแพ้เป็นพันธมิตร แต่ล็อบบี้สหประชาชาติจนประเทศอังกฤษหัวหมุนว่าตกลงไทยจะอยู่ในกลุ่มประเทศผู้แพ้สงครามหรือชนะกันแน่


หนังสือพิมพ์ลงข่าวแบบเชียร์ญี่ปุ่นสุดตัว
ข้อเท็จจริงคือญี่ปุ่นบุกไทยวันที่ 8 ธ.ค. 2484 ไทยประกาศยอมแพ้ 11 ธ.ค. จากนั้นรัฐบาลทหารก็ประกาศเข้าเป็นพวกไปเลย สื่อก็ช่วยกันประโคมข่าวแต่ก็ซ่อนเงื่อนมากมายตามสไตล์กลยุทธ์แบบศรีธนญชัย นักเขียนก็แต่งหนังสือนิยายรักโกโบริกับอังศุมาลิน แม้จบสงครามไปนานแล้วญี่ปุ่นเองก็ยังรักเมืองไทยและกลับมาลงทุนในไทย ถือว่าเป็นอันดับ 1 ของนักลงทุนต่างชาติกันเลยทีเดียว
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสรุปยังไง ถ้ามองปัจจุบันความเจริญทั้งทางวัตถุและสติปัญญา จีนและญี่ปุ่นเขาไปไกลมาก ศักดิ์ศรีของประเทศ ความมีจุดยืนในความคิด แม้จะกินไม่ได้แต่จะเป็นอุปนิสัยและความภาคภูมิใจติดตัวคนในประเทศนั้น ๆ ตลอดไป
ขอบคุณภาพถ่ายเมืองนานกิงจาก Agnieszka Bojczuk และภาพหนังสือพิมพ์ศรีกรุงจาก เรือนไทยวิชาการ

ความคิดเห็น