ใครควรเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักร ความรับผิดชอบต่อพระเจ้าของทุกคนในคริสตจักร

ฮิปโปลิทัส แห่งโรม (ค.ศ.170-235) นักศาสนศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 3 เป็นหนึ่งในผู้นำทางความเชื่อที่หนักแน่นจนท่านยอมพลีชีพเพื่อพระคริสต์ แม้ฮิปโปลิทัสจะเป็นผู้นำในรุ่นถัดจากอัครทูตของพระเยซูคริสต์ แต่ความเชื่อและความเข้าใจในหลักแห่งความเชื่อของท่านยังคงสะท้อนแง่คิดที่น่าสนใจอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องการวางมือแต่งตั้งผู้นำผู้ที่จะเป็นผู้ดูแลคริสตจักรเรียกว่ามุขนายก (bishop) หรือ ศิษยาภิบาล ซึ่งหลักนี้ยังสามารถใช้ได้อยู่แม้ในปัจจุบัน

ฮิปโปลิทัส นักศาสนศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 3 เป็นหนึ่งในผู้ยอมพลีชีพเพื่อพระคริสต์

คำกล่าวนำของฮิปโปลิทัส แห่งโรม (Hippolytus of Rome) ในการสถาปนามุขนายก (bishop) ผู้ที่จะมาเป็นผู้ปกครองดูแลคริสตจักรได้กล่าวไว้ว่า

ขอให้มุขนายก (bishops) ผู้ที่จะรับการสถาปนา ผู้ที่ถูกเลือกจากท่ามกลางพวกทุกคน ปราศจากความผิดพลาดใดใด และด้วยชีวิตและความตั้งใจของท่านที่แสดงออกและได้รับการรับรองจากพี่น้อง ตลอดจนบรรดาผู้อาวุโส และบรรดามุขนายก ที่อยู่พร้อมกันในวันของพระเจ้าที่นี่ ในความตั้งใจของท่าน ขอให้ท่านอธิษฐานร่วมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในใจของท่าน และทุกท่านจะวางมืออธิษฐานเพื่อสถาปนาท่านเป็นมุขนายก  (แปลโดยผู้เขียน)

สิ่งที่ฮิปโปลิทัสสะท้อนให้เห็นในการสถาปนามุขนายกซึ่งให้หลักการเดียวกันในการสถาปนาศิษยาภิบาลด้วย คือ

1. ชุมชนทั้งหมด และคณะผู้ปกครองอาวุโสเป็นผู้เลือกศิษยาภิบาล โดยใช้การประเมิน การหยั่งรู้ในพระวิญญาณฯ ความตระหนักในศรัทธาและของประทานของผู้นั้นจนแน่ใจว่าความเชื่อและการแสดงออกของเขามั่นคง สัตย์ซื่อ และถูกต้อง


2. ผู้ที่จะถูกแต่งตั้งเป็นศิษยาภิบาลตอบสนองการเลือกนี้ด้วยความมีเสรีภาพในพระวิญญาณฯ และการพิจารณาความตั้งใจของตนเองในบทบาทนี้


3. คณะผู้ปกครองจะวางมือบนเขาและอธิษฐานด้วยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อให้เกิดความตระหนักว่าแท้จริงแล้วแม้ชุมชนจะเป็นผู้เลือกเขาขึ้นมา แต่พระเจ้าต่างหากทรงเป็นผู้ครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ไม่ใช่ความต้องการของชุมชนเพียงอย่างเดียว

4. จากนั้นศิษยาภิบาลจะได้รับการสถาปนาให้เป็นผู้นำของคริสตจักร ถือเป็นของประทานที่พระเจ้าทรงประทานแก่คริสตจักรโดยพระคุณทางพระวิญญาณฯ

ตำแหน่ง บทบาท และหน้าที่ของศิษยาภิบาลเป็นหน้าที่ที่หนัก เต็มไปด้วยความซับซ้อนเพราะต้องไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนทั้งในคริสตจักรและสังคม เป็นเสมือนตัวแทนทางจิตวิญญาณที่สะท้อนพระประสงค์ของพระเจ้า รวมทั้งการยืนหยัดในความจริงของพระเจ้าแม้จะต้องเสียดทานกับความคิดเห็นของโลกมากเพียงใดก็ตาม ฉะนั้นหน้าที่นี้จึงยากและเป็นไปไม่ได้เลยหากปราศจากการพึ่งพากำลังจากพระเจ้าและการสนับสนุนของพี่น้องในคริสตจักรชุมชนแห่งความเชื่อทุกคนร่วมกัน

การแต่งตั้งศิษยาภิบาลจึงควรกลับมาทบทวนหลักนี้และไม่แต่งตั้งเพราะความจำเป็นเฉพาะหน้า ความเห็นของมนุษย์ หรือปัจจัยภายนอก เช่น บุคลิก การศึกษา สถานะทางสังคม สถานะทางการเงิน หรือการถูกกดดันขู่เข็ญใดใดโดยปราศจากการพิจารณาใคร่ครวญอย่างเป็นอิสระภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์

อ้างอิง: Willian H.Willimon. Pastor, The Theology and Practice of Ordained Ministry. Abingdon Press, 2010.

ความคิดเห็น