จักรวาลวิทยา (cosmology) ในพระคัมภีร์เดิม

เมื่อเราพูดถึงจักรวาลวิทยา (cosmology) เราจะพูดถึงวิชาว่าด้วยการศึกษาจักรวาล ดวงอาทิตย์ ดวงดาว โลก และสรรพสิ่งในอวกาศหรือย่านฟ้าอากาศ เรื่องเร้นลับแต่เห็นได้ด้วยตาเหล่านี้จึงมีข้อสมมติฐานที่แตกต่างกันตาม "คติความเชื่อ" ของคนในวัฒนธรรมต่างๆ สมมติฐานเหล่านี้ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เพราะแต่ละสมมติฐานยืนอยู่บนคติที่ต่างกัน แต่ละคติอาจจะสะท้อนความจริงที่คตินั้นสนใจ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความจริงสมบูรณ์ทั้งในด้านวัตถุและจิตวิญญาณก็เป็นได้

The Helix Nebula ในวัฒนธรรม Pop Culture จะใช้ชื่อว่า Eye of God หรือ Eye of Sauron

พระคัมภีร์ก็เช่นกัน การเปิดเผยเรื่องของจักรวาลวิทยาในพระคัมภีร์มุ่งเน้นที่พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งโดยพระองค์ เพื่อพระองค์ โดยมีวัตถุประสงค์ให้มนุษย์ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า ฉะนั้นเมื่อเราพบพระคัมภีร์เดิมที่กล่าวถึงการสร้างโลก ลักษณะของโลก การโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว หรือนรก สวรรค์ ให้เรามองเป็นคติความเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งเหล่านั้นเพื่อพระองค์เองและเพื่อเรา โดยไม่ต้องเปรียบเทียบภาพของความรู้หรือคติความเชื่ออื่น หรือแม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ตาม

ให้เรามาดูพระคัมภีร์บางข้อที่พาดพิงถึงจักรวาลวิทยาด้วยกัน

สดุดี 19:6 ดวง​ตะวัน​ขึ้น​มา​จาก​สุด​ปลาย​ฟ้า​ข้าง​หนึ่ง และ​โค​จร​ไป​ถึง​ที่​สุด​ปลาย​อีก​ข้าง​หนึ่ง ไม่​มี​สิ่ง​ใด​ซ่อน​ให้​พ้น​จาก​ความ​ร้อน​ของ​มัน​ได้
ถ้ามองผ่านๆ และตีความตรงๆ พระคัมภีร์ตอนนี้กำลังบอกว่าดวงอาทิตย์โคจรจากข้างหนึ่งของฟ้าไปอีกข้าง คือโลกอยู่เฉยๆ แล้วดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก ซึ่งสอดคล้องกับการทรงสร้างของพระเจ้าในพระธรรมปฐมกาล
ปฐมกาล 1:16-18 พระ​เจ้า​ทรง​สร้าง​ดวง​สว่าง​ขนาด​ใหญ่​ไว้​สอง​ดวง ให้​ดวง​ที่​ใหญ่​กว่า​ครอง​วัน ดวง​ที่​เล็ก​กว่า​ครอง​คืน พระ​องค์​ทรง​สร้าง​ดวง​ดาว​ต่างๆ ด้วย พระ​เจ้า​ทรง​ตั้ง​ดวง​สว่าง​เหล่า​นี้​ไว้​บน​ภาค​พื้น​ฟ้า ให้​ส่อง​สว่าง​เหนือ​แผ่น​ดิน ให้​ครอง​วัน​และ​คืน และ​แยก​ความ​สว่าง​ออก​จาก​ความ​มืด พระ​เจ้า​ทรง​เห็น​ว่า​ดี
แต่ตอนนี้ถ้าศึกษาบริบทจะพบว่าเป็นเรื่องการเปรียบเทียบเทียบฤทธิ์เดชและความยิ่งใหญ่ของธรรมบัญญัติของพระเจ้ากับลักษณะของธรรมชาติที่เห็นได้ด้วยตา
สดุดี 19:1 ท้อง​ฟ้า​ประ​กาศ​พระ​สิริ​ของ​พระ​เจ้า และ​พื้น​ฟ้า​สำ​แดง​ผล​งาน​แห่ง​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​องค์
สดุดี 19:4 ถึง​กระ​นั้น เสียง​ของ​มัน​ก็​ออก​ไป​ทั่ว​แผ่น​ดิน​โลก และ​ถ้อย​คำ​ก็​ออก​ไป​ถึง​สุด​ปลาย​พิภพ พระ​องค์​ทรง​ตั้ง​เต็นท์​ไว้​ให้​ดวง​ตะวัน ณ ที่​นั้น
ฉะนั้นเป้าหมายของพระธรรมตอนนี้น่าจะอยู่ในข้อ 7 คือต้องการยกย่องธรรมบัญญัติของพระเจ้ามากกว่าการเปิดเผยสภาพทางจักรวาลวิทยา
สดุดี 19:7 ธรรม​บัญ​ญัติ​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​ดี​พร้อม และ​ฟื้น​ฟู​ชีวิต พระ​โอ​วาท​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​นั้น​แน่​นอน ทำ​ให้​คน​รู้​น้อย​มี​ปัญ​ญา

ข้อต่อมาที่ดูเป็นจักรวาลวิทยาขึ้นมาหน่อยในมุมของพระคัมภีร์เดิม 

โยบ 28:5 แผ่น​ดิน​นั้น​มี​อา​หาร​ออก​มา แต่​ข้าง​ใต้​ก็​สับ​สน​อย่าง​ถูก​ไฟ​ไหม้
อ่านดูเหมือนจะบอกว่าโลกผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหาร แต่ใต้โลกมีเม็กม่าลาวา พุ่งพล่านเต็มไปหมด แต่หากเราดูบริบทในตอนนี้ บทนี้ทั้งบทกำลังพูดถึงการแสวงหาปัญญาซึ่ง "หลบสายตา" จากคนที่ไม่มีใจแสวงหา เหมือนโลกที่ดูเหมือนจะมีอาหารออกมา แต่ข้างในมีหลายอย่างที่มีค่ามากกว่านั้น
โยบ 28:1-2 แน่​ละ มี​เหมือง​สำ​หรับ​แร่​เงิน และ​มี​ที่​สำ​หรับ​ทอง​คำ​ที่​เขา​ถลุง เหล็ก​เขา​เอา​มา​จาก​ดิน และ​ทอง​แดง​เขา​หลอม​เอา​จาก​หิน
โยบ 28:6 ก้อน​หิน​ของ​ที่​นั่น​เป็น​ที่​อยู่​ของ​ไพลิน และ​มัน​มี​ผง​ทอง​คำ
โยบ 28:13 มนุษย์​ไม่​รู้​จัก​คุณ​ค่า​ของ​ปัญ​ญา และ​ใน​แผ่น​ดิน​ของ​คน​เป็น​ก็​หา​ไม่​พบ
และข้อสรุปอยู่ที่ข้อ 28
โยบ 28:28 และ​พระ​องค์​ตรัส​กับ​มนุษย์​ว่า ‘ดู​เถิด ความ​ยำ​เกรง​องค์​เจ้า​นาย นั่น​แหละ​คือ​ปัญ​ญา และ​การ​หัน​เสีย​จาก​ความ​ชั่ว​ร้าย คือ​ความ​เข้า​ใจ’

ภาพของโลกในคติความเชื่อของพระคัมภีร์เดิมเป็นอย่างไร 

ภาพการสร้างโลกในพระธรรมปฐมกาลที่เป็นลำดับใน 6 วันประกอบกับภาพของโลกที่บอกเป็นส่วนๆ ตลอดพระคัมภีร์หลายตอนในพระคัมภีร์เดิม เช่น
โยบ 26:7 พระ​องค์​ทรง​คลี่​อุดร​ออก​คลุม​ที่​เวิ้ง​ว้าง และ​แขวน​โลก​ไว้​เหนือ​ที่​ว่าง​เปล่า
ข้อนี้กำลังบอกว่าโลกเป็นลักษณะของโดมที่เป็นแผ่นถูกแขวนลอยอยู่ในที่ว่างเปล่า 
ภาพวาดโลกในยุคก่อนเรเนซองส์
อิสยาห์ 40:22 คือ​พระ​องค์​ประ​ทับ​เหนือ​หลัง​คา​โค้ง​ของ​แผ่น​ดิน​โลก และ​ชาว​แผ่น​ดิน​โลก​ก็​เป็น​เหมือน​ตั๊ก​แตน พระ​องค์​ทรง​ขึง​ฟ้า​สวรรค์​เหมือน​ขึง​ม่าน และ​กาง​มัน​ออก​เหมือน​เต็นท์​สำหรับ​อา​ศัย
คำว่าหลังคาโค้งของโลก (the circle of the earth) หมายถึงโลกเป็นลักษณะของโดมที่เป็นแผ่นโค้ง แขวนลอยอยู่ในที่ว่างเปล่า 
อิสยาห์ 14:15 แต่​เจ้า​ถูก​นำ​ลง​มา​สู่​แดน​คน​ตาย ยัง​ก้น​บา​ดาล
แดนคนตายภาษาฮีบรูใช้คำว่า sheol หรือภาษากรีก hades เป็นดินแดนที่อยู่ใต้โลกในที่ลึกมากซึ่งเป็นที่ลึกลับที่ถูกซ่อนไว้

สรุปจากหลายข้อหลายตอนจนกระทั่งกลายเป็นภาพนี้ครับ
ภาพของโลกในคติความเชื่อของพระคัมภีร์เดิม
โลกในคติของพระคัมภีร์เดิมเป็นโลกทรงโดม ลอยอยู่ในที่ว่าง ตั้งอยู่บนฐานราก ข้างในมีแดนคนตาย (sheol) รอบๆ โลกและข้างบนโลก (เหนือดาวขึ้นไป) คือน้ำ มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อยู่ใต้แผ่นฟ้า และแผ่นฟ้าเป็นช่องเปิดไปสู่สวรรค์ นี่เป็นคติของคนในยุคนั้นครับ (ลองอ่านใน ปฐก.7:11, สดด.33, สดด.113:4-6, สภษ.8:27, สภษ.30:4, อสย.24:18, มลค.3:10, มธ.5:34 เป็นต้น)

คราวนี้เรามาลองอธิบายพระคัมภีร์บางข้อด้วยหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กัน

สดุดี 19:6 ดวง​ตะวัน​ขึ้น​มา​จาก​สุด​ปลาย​ฟ้า​ข้าง​หนึ่ง และ​โค​จร​ไป​ถึง​ที่​สุด​ปลาย​อีก​ข้าง​หนึ่ง ไม่​มี​สิ่ง​ใด​ซ่อน​ให้​พ้น​จาก​ความ​ร้อน​ของ​มัน​ได้
อธิบายไม่ได้ว่าโลกหมุน และโคจรรอบดวงอาทิตย์ ! ผิดหลักวิทยาศาสตร์อย่างแรง แต่ไม่ผิดหลักพระคัมภีร์ซึ่งเป็นคนละคติความเชื่อและสมมติฐาน
โยบ 28:5 แผ่น​ดิน​นั้น​มี​อา​หาร​ออก​มา แต่​ข้าง​ใต้​ก็​สับ​สน​อย่าง​ถูก​ไฟ​ไหม้
อธิบายว่าโลกเราข้างในมีแม็กม่า หินร้อน ! ถูกหลักวิทยาศาสตร์ แต่ผิดหลักพระคัมภีร์ซึ่งไม่ได้ต้องการสื่อแบบนั้น เป็นเรื่องคนละคติความเชื่อและสมมติฐานอีก
โยบ 26:7 พระ​องค์​ทรง​คลี่​อุดร​ออก​คลุม​ที่​เวิ้ง​ว้าง และ​แขวน​โลก​ไว้​เหนือ​ที่​ว่าง​เปล่า
อธิบายว่าโลกแบนเป็นแผ่นที่สามารถคลี่ได้ แขวนได้ ! ซึ่งอาจจะอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ว่าคนสมัยก่อนเห็นแค่นั้น แต่ก็ไม่ผิดหลักพระคัมภีร์ซึ่งเป็นคนละคติความเชื่อและสมมติฐานอยู่ดี
อิสยาห์ 14:15 แต่​เจ้า​ถูก​นำ​ลง​มา​สู่​แดน​คน​ตาย ยัง​ก้น​บา​ดาล
เรื่องนี้ไม่มีคำอธิบายโดยหลักวิทยาศาสตร์ แต่ถูกต้องในคติความเชื่อตามพระคัมภีร์ 


เราจะพบว่าการอธิบายความจริงบางอย่างด้วยหลักฐานที่มีคติความเชื่อที่แตกต่างกันเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะวิทยาศาสตร์เรื่องโลกเป็นเรื่องของวัตถุที่ปรากฏที่เกิดขึ้นจากการตั้งสมมติฐานและพิสูจน์สมมติฐานจนได้ชุดความจริงอันหนึ่งออกมา แต่พระคัมภีร์ทั้งเล่มเป็นหนังสือที่เป็นชุดความจริงที่อธิบายแผนการแห่งการช่วยกู้ของพระเจ้าต่อมนุษยชาติ ฉะนั้นในคติที่แตกต่างกันจึงไม่สามารถหาวิธีมาอธิบายแบบตรงไปตรงมาได้อย่างชัดเจนและเคลมว่าของใครถูกต้องกว่า

การบอกว่าพระคัมภีร์เป็นจริง หมายถึงเป็นจริงในแผนการช่วยกู้ของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นจริงตามหลักวิทยาศาสตร์ทุกเรื่อง หรือศาสตร์อื่นๆ ในโลกทุกศาสตร์ เช่น ปรัชญา โบราณคดี รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ แต่พระคัมภีร์อาจจะแตะมาโดนหลักเหล่านั้นบ้างซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของพระคัมภีร์ทั้งเล่มครับ

พระเจ้าเป็นความจริงแท้ หลายครั้งคริสเตียนตกอยู่ท่ามกลางหลักเหตุผลที่นำเสนออย่างมากมายของโลกทำให้รู้สึกตัวเองมีแต่ความเชื่อเหมือนจะไม่มีเหตุผล แล้วทำให้เราพยายามอธิบายด้วยพระคัมภีร์แบบข้างๆ คูๆ ว่าพระคัมภีร์จริงแท้อย่างไรในหลักเหตุผลของโลก แต่คริสเตียนต้องมั่นใจในพระเจ้า มั่นใจในความรอดที่ประทานโดยพระเยซูคริสต์ มั่นใจในสันติสุขแท้ที่โลกนี้ให้ไม่ได้ มั่นใจในสภาพจิตวิญญาณที่ถูกเติมให้เต็มโดยพระเจ้าทำให้เราเต็มไปด้วยความมั่นใจ ความเชื่อ แรงผลักดันในการทำดี

พระคัมภีร์ไม่อาจตอบคำถามวิทยาศาสตร์ได้ทุกข้อ เช่นเดียวกัน วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบคำถามในใจได้ทุกข้อเหมือนกัน เพราะทั้งสองต่างมีเป้าหมายการนำเสนอและคติความเชื่อที่ต่างกัน ถ้าหลักคิดของวิทยาศาสตร์คือการตั้งคำถาม ตั้งสมมติฐาน และพิสูจน์สมมติฐาน ระบบการคิดของหลักวิทยาศาสตร์ย่อมจะช่วยให้ระบบความคิดของผู้ศึกษาพระคัมภีร์ถูกพัฒนาไปอีกระดับสู่การเปิดเผยความจริงได้มากมาย อย่ากลัวการใช้เหตุผลในการศึกษาพระคัมภีร์ และอย่าคิดว่าทุกสิ่งที่วิทยาศาสตร์ค้นพบเป็นความจริงที่ถูกเสมอเพราะวิทยาศาสตร์เป็นพลวัตรที่มาจากการตั้งสมมติฐานซึ่งอาจจะมีผิดมีถูก เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ความจริงในพระคัมภีร์นั้นนิ่งและเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ทุกคนมากว่าหลายพันปีแล้ว

อ้างอิง

  • Matthew Henry commentary on the whole Bible
  • Dennis Bratcher. "The Circle of the Earth" Translation and Meaning in Isaiah 40:22
  • Adela Yarbro Collins. Cosmology and Eschatology in Jewish and Christian Apoocalypticism

ความคิดเห็น