Book Review: Pastor ศิษยาภิบาล ตัวแทนอย่างเป็นทางการของชุมชนแห่งความเชื่อ

โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
Pastor, Willian H.Willimon
ศิษยาภิบาล เป็นตำแหน่งสำคัญต่อคริสตจักรที่มีความรับผิดชอบไม่เพียงต่อฝูงแกะของพระเจ้าที่พระเยซูทรงฝากไว้ แต่ยังต้องรับผิดชอบต่อพระเยซูคริสต์ในการดูแลฝูงแกะของพระองค์ด้วย 

การเป็นศิษยาภิบาลไม่ใช่มีเพียงการทรงเรียกจากพระเจ้าส่วนตัว แต่ยังต้องมีการรับรองจากชุนชนแห่งความเชื่อด้วย เพราะศิษยาภิบาลต้องเป็นเหมือนตัวแทนอย่างเป็นทางการของชุมชนแห่งความเชื่อคือคริสตจักรนั้นๆ และยังต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้ฝูงแกะของพระเจ้าเติบโตขึ้นในความเชื่อ มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงแปลงในทางพระเจ้า และยังต้องสามารถรักษาชีวิตตัวเองทั้งร่ายกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เพื่อการปรนนิบัติรับใช้จะเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี มีกำลังฝ่ายจิตวิญญาณ สามารถรับใช้ด้วยความเข้าใจตลอดชีวิตการทรงเรียกของเขา การเตรียมตัวจึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมากและแม้จะเป็นศิษยาภิบาลที่ได้รับการสถาปนาแล้วหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เรากลับมาทบทวนความตั้งใจ ความมุมานะ การทรงเรียกของพระเจ้าในชีวิตของเราอีกครั้ง

คำกล่าวนำของฮิปโปลิทัส แห่งโรม (Hippolytus of Rome)* ในการสถาปนามุขนายก (bishop) ผู้ที่จะมาเป็นผู้ปกครองดูแลคริสตจักรได้กล่าวไว้ว่า
ขอให้มุขนายก (bishops) ผู้ที่จะรับการสถาปนา ผู้ที่ถูกเลือกจากท่ามกลางพวกทุกคน ปราศจากความผิดพลาดใดใด และด้วยชีวิตและความตั้งใจของท่านที่แสดงออกและได้รับการรับรองจากพี่น้อง ตลอดจนบรรดาผู้อาวุโส และบรรดามุขนายก ที่อยู่พร้อมกันในวันของพระเจ้าที่นี่ ในความตั้งใจของท่าน ขอให้ท่านอธิษฐานร่วมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในใจของท่าน และทุกท่านจะวางมืออธิษฐานเพื่อสถาปนาท่านเป็นมุขนายก  (แปลโดยผู้เขียน)
* ฮิปโปลิทัส (ค.ศ.170 – 235) นักศาสนศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 3 เป็นหนึ่งในผู้ยอมพลีชีพเพื่อพระคริสต์
สิ่งที่ฮิปโปลิทัสสะท้อนให้เห็นในการสถาปนามุขนายกซึ่งให้หลักเดียวกันกับการสถาปนาศิษยาภิบาลด้วย ซึ่งได้แก่
1. ชุมชนทั้งหมดและคณะผู้อาวุโสเป็นผู้เลือกมุขนายกหรือศิษยาภิบาล
2. ผู้ที่จะถูกสถาปนาจะต้องตอบสนองการเลือกนี้ด้วยความมีเสรีภาพและความตั้งใจที่แน่วแน่ของตนเอง
3. ชุมชนแห่งความเชื่อได้ทดสอบศรัทธาของผู้นั้นจนแน่ใจว่าความเชื่อของเขาถูกต้อง
4. คณะผู้ปกครองได้วางมือบนเขาและอธิษฐานด้วยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อให้เกิดความตระหนักว่าแท้จริงแล้วแม้ชุมชนจะเป็นผู้เลือกเขาขึ้นมา แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ไม่ใช่ความต้องการของชุมชนเพียงอย่างเดียว และ
5. มุขนายกหรือศิษยาภิบาลจะเป็นผู้นำของคริสตจักร เป็นของประทานที่พระเจ้าทรงประทานแก่คริสตจักรโดยพระคุณทางพระวิญญาณฯ

บทบาทที่สำคัญมากสำหรับศิษยาภิบาลคือการเตรียมธรรมิกชนให้รับใช้เพื่อเสริมสร้างพระวรกายของพระคริสต์ ฉะนั้นหน้าที่ของศิษยาภิบาลในหนังสือเล่มนี้บรรยายและเป็นสิ่งใหม่ที่น่าสนใจมากคือบทบาทของศิษยาภิบาลในโลกปัจจุบัน  ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้อธิบายไว้ได้แก่

บทบาทของศิษยาภิบาลในฐานะสื่อ (Media Mogul)

มีศิษยาภิบาลจำนวนมากในปัจจุบันใช้สื่อเพื่อประกาศหรือนำเสนอการนมัสการหรือการเทศนา แต่อาจจะต้องระมัดระวังการประนีประนอมข่าวประเสริฐเพราะเห็นแก่ยอดผู้ชมหรือเงินถวายเป็นต้น เพราะศิษยาภิบาลต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าและฝูงแกะที่ดูแลด้วย
ในมุมปฏิบัติศิษยาภิบาลจะหลีกเลี่ยงการใช้สื่อไม่ได้ เพราะเราต้องให้แนวคิดทัศนะที่ถูกตามพระคัมภีร์แก่สมาชิกและในช่องทางที่เขารับรู้ ซึ่งอาจหมายถึงรายการ TV, สื่อโซเชี่ยล เช่น YouTube, Facebook, Instagram เป็นต้น

บทบาทของศิษยาภิบาลในฐานะนักเจรจา (Political Negotiator)

เรื่องนี้สามารถเห็นได้ชัดในตัวอย่างของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ (Martin Luther King) ที่เป็นผู้เรียกร้องความเสมอภาพของคนผิวสีซึ่งเป็นบทบาทที่สังคมอาจจะรับรู้มากกว่าที่เขาเป็นศิษยาภิบาลเสียอีก หรือ ดิทริก บอนฮูเฟอร์ (Dietrich Bonhoeffer) นักเคลื่อนไหวต่อต้านลัทธินาซีเยอรมัน ซึ่งจริงๆ เขาเป็นศิษยาภิบาลดูแลคริสตจักร และนักศาสนศาสตร์ด้วย

บทบาทของศิษยาภิบาลในฐานะผู้บำบัด (Therapist)

เป็นบทบาทการให้คำปรึกษาซึ่งใช้ทั้งความรู้ความสามารถและเวลาเป็นอย่างมาก สิ่งหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้ย้ำเตือนคือศิษยาภิบาลแม้จะรักและสนใจสมาชิก แต่ก็ต้องทำในนามของพระคริสต์ คือให้ข้อคิดคำปรึกษาที่เป็นคำแนะนำทางจิตวิญญาณเพื่อผู้รับคำปรึกษาจะดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องในพระคริสต์ ศิษยาภิบาลจะไม่จำเป็นจะต้องรู้ทุกอย่างของโลกเพื่อจะเป็นผู้ให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง เพราะเรื่องการดูแลฝ่ายวิญญาณเป็นสิ่งที่ศิษยาภิบาลพึงตระหนักก่อน และต้องเข้าใจโลกว่าคนเราจะไม่รู้จักพอ เขาจะพยายามหาคนที่สนับสนุนในสิ่งที่ตัวเองอยากจะให้เป็นโดยใช้ทุกความเห็นของทุกคนที่เห็นด้วยกับความคิดของเขารวมทั้งศิษยาภิบาลด้วยเพื่อมารับรองเท่านั้น

บทบาทของศิษยาภิบาลในฐานะผู้บริหารจัดการ ( Manager)

เพราะงานในคริสตจักรมีมากกว่าแค่ความตั้งใจที่ดีหรือจิตใจดีของศิษยาภิบาล ศิษยาภิบาลต้องเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการตัวเอง ตารางเวลา ทรัพยากรทุกอย่างเป็นอย่างดีเพื่อไม่ให้คริสตจักรดำเนินไปอย่างสับสนไร้ทิศทาง

บทบาทของศิษยาภิบาลในฐานะนักเคลื่อนไหวเพื่อชุมชน (Resident Activist)

หมายถึงศิษยาภิบาลเป็นนักเคลื่อนไหวที่เป็นตัวแทนของชุมชนที่คริสตจักรตั้งอยู่ สำหรับประเทศไทยอาจหมายถึงการเป็นสมาชิกในคณะกรรมการชุมชนมากกว่าเพราะอาจจะต้องประกอบด้วยตัวแทนภาคต่างๆ ในชุมชนเช่น ครู, นักบวช, นักพัฒนา, ปราชญ์ชุมชน เป็นต้น แต่ประเด็นนี้น่าจะไปขยายผลเพื่อไปสู่ภาคปฏิบัติจริง และศิษยาภิบาลยังอยู่ในบทบาทของนักเทศน์ (Preacher) และ ผู้รับใช้ (Servant) ซึ่งเป็นภาพที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว

หนังสือเล่มนี้มีตัวอย่างสถานการณ์หลายเรื่องที่น่าสนใจเลยทีเดียว ส่วนตัวชอบเรื่องของเด็กทารกที่เกิดมาเป็นดาวน์ ซินโดรม (Down Syndrome) “ในมุมมองของแพทย์แนะนำว่าหากปล่อยให้ครอบครัวนี้เลี้ยงดูเด็กดาวน์ ซินโดรม อาจจะเป็นสาเหตุให้ครอบครัวต้องแยกทางกันก็ได้เพราะเด็กดาวน์ ซินโดรมต้องการเวลาการเอาใจใส่สูง และใช้แรงกายแรงใจมาก ผลอาจจะกระทบไปถึงลูกของเขา 2 คนที่มีอยู่แล้วจะกลายเป็นเด็กที่มีปัญหา และสมาชิกทุกคนในครอบครัวจะมีแต่ความทุกข์ใจ” แต่ในฐานะของศิษยาภิบาลจำเป็นต้องให้มุมมองที่กว้างไปกว่านั้นต่อแพทย์ “แม้ว่าเด็กคนนี้อาจจะทำให้ทั้งครอบครัวทุกข์ใจ แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะสร้างครอบครัวให้เข้มแข็งไปด้วยกัน เพราะอย่างไรก็ตามพระเจ้าทรงประทานเด็กคนนี้มา เขาจึงเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวและของโลกนี้แล้ว ” (แปลสรุปความโดยผู้เขียน)

ตำแหน่ง บทบาท และหน้าที่ของศิษยาภิบาลจึงเป็นหน้าที่ที่หนัก เต็มไปด้วยความซับซ้อนเพราะต้องไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนทั้งในคริสตจักรและสังคม เป็นเสมือนตัวแทนทางจิตวิญญาณที่สะท้อนพระประสงค์ของพระเจ้า รวมทั้งการยืนหยัดในความจริงของพระเจ้าแม้จะต้องเสียดทานกับความคิดเห็นของโลกมากเพียงใดก็ตาม หน้าที่นี้จึงยากและเป็นไปไม่ได้เลยหากปราศจากการพึ่งพากำลังจากพระเจ้าและการสนับสนุนของพี่น้องในคริสตจักรชุมชนแห่งความเชื่อทุกคนร่วมกัน

ความคิดเห็น