Jesus Driven Ministry งานรับใช้ที่ขับเคลื่อนโดยพระเยซู

โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
Jesus Driven Ministry งานรับใช้ที่ขับเคลื่อนโดยพระเยซู โดย Ajith Fernando
อจิต เฟอร์นันโน (Ajith Fernando) พบว่าผู้รับใช้พระเจ้าหลายคนเมื่อรับใช้มาถึงจุดหนึ่งของช่วงชีวิตได้หยุดรับใช้หรือรับใช้เพียงเพื่อรักษาสภาพงานรับใช้นั้นๆ เอาไว้ คำถามที่มีความสำคัญคืออะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผู้รับใช้คนหนึ่ง สามารถรักษาความมุ่งหมายในใจในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าให้ยังคงอยู่อย่างมั่นคงในการรับใช้ในช่วงเวลายาวนานได้ ข้อเสนอของหนังสือเล่มนี้จึงสรุปว่า การรับใช้ที่จะยั่งยืนจะต้องให้พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่ขับเคลื่อนในใจของเราอย่างแท้จริงและนำเราผ่านแง่มุมต่างๆ ของชีวิตผู้รับใช้พระเจ้าที่อยู่ท่ามกลางความมากมายของปริมาณงานรับใช้ที่มาอย่างถาถมอย่างต่อเนื่องเมื่อเรายืนอยู่ในงานนั้นๆ ที่คริสตจักรหรือองค์การคริสเตียน

หัวใจของหนังสือเล่มนี้คือชีวิตและการรับใช้ที่ขับเคลื่อนด้วยพระเยซู ไม่ใช่ความมุ่งมั่นของมนุษย์ ไม่ใช่ภารกิจองค์กร แต่เป็นการตระหนักถึงพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงอยู่ตรงไหนท่ามกลางงานรับใช้ของเรา ความตระหนักนี้จะช่วยให้เราสามารถรับใช้ได้อย่างมั่นใจ มีเสถียรภาพ เพราะพระเยซูทรงเป็นแบบอย่างในการรับใช้แก่เรา ทรงอยู่กับเรา และทรงช่วยเราในงานรับใช้ที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้แก่เรา

สภาพของผู้รับใช้ที่อจิตได้ให้ภาพไว้ตอนต้นนั้นเป็นสภาพที่สูญเสียความมั่นใจ ขาดสันติสุขในใจ ท้อแท้ ต้องเผชิญความทุกยากลำบากมากมาย ไม่มีความชื่นชมยินดี แต่อจิตเสนอว่า ที่เป็นอย่างนั้นเพราะผู้รับใช้หลายคนไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะเผชิญต่ออุปสรรคต่างๆ ในงานรับใช้ซึ่งถ้าประเมินแล้วไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างแน่นอน  (แปลสรุปโดยผู้เขียน) เปาโลได้หนุนใจเราไว้ใน คส.1:24-25 ให้เราความคิดของเราก้าวไปถึงความรู้สึกว่าแม้ทนทุกข์ก็ตาม ก็ยังสามารถชื่นชมยินดีได้ และยอมรับว่าการทนทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของการรับใช้พระเจ้า มากไปกว่านั้นไม่ให้ความทุกข์ยากทำให้เราหยุดในการทำหน้าที่ผู้รับใช้ของเราอย่างครบถ้วนได้

เนื้อหาที่หนังสือเล่มนี้เสนอเป็นเรื่องที่ผู้รับใช้ต้องเผชิญอยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่หนังสือเล่มนี้ให้แง่คิดที่น่าสนใจโดยสะท้อนเรื่องราวนั้นๆ จากพระเยซูที่ทรงตอบสนองเหตุการณ์เหล่านี้เพื่อเป็นแบบอย่างแก่เรา เช่น การเข้าไปมีส่วนร่วมกับคนอย่างแท้จริงเหมือนพระเยซูคริสต์ที่เข้ามาในโลกเพื่อมนุษย์ หมายถึงเราจะเข้าไปในใจของผู้คนในยุคหลังทันสมัย (postmodern)ได้อย่างไร, การรับการเจิมโดยพระวิญญาณเพื่อการรับใช้ การใช้ของประทานพระวิญญาณ, การตระหนักถึงการรับรองโดยพระเจ้าเพื่องานรับใช้ เพื่อเราจะมีความมั่นใจว่าได้เดินมาอย่างถูกทางแล้ว ไม่ให้ภารกิจ หรือการลงมือทำงานที่มากมายทำให้เราอาจกลายเป็นคนเสพติดงานรับใช้พระเจ้าโดยไม่รู้ตัวและลืมไปว่าเราจำเป็นต้องพบการทรงนำและการรับรองจากพระเยซูคริสต์ในงานนั้นๆ ด้วย, การเรียนรู้จักการพักสงบในพระเจ้าโดยเห็นแบบอย่างของพระเยซูคริสต์ในการอธิษฐานอยู่เสมอแม้งานรับใช้จะมากมายเพียงใด, การตอบสนองน้ำพระทัยพระเจ้าโดยยอมจำนนกับพระองค์ในทุกทาง, การเรียนรู้จักความอิ่มเอิบในพระวจนะซึ่งมาได้โดยการเห็นคุณค่าพระวจนะ การยอมรับและใช้ความเชื่อ ให้พระคำพระเจ้าเป็นความชื่นชมยินดีในชีวิตเสมอ ความกล้าหาญในการเทศนาสั่งสอนพระวจนะโดยไม่ให้ความคิดเห็นของมนุษย์ใหญ่เกินความคิดเห็นของพระเจ้า, การเผชิญหน้ากับคนที่ยากๆ ที่อาจนำความขมขื่นเข้ามาในชีวิตเราหรือสถานการณ์ยากๆ ที่บั่นทอนเรา แต่เราสามารถทำได้ด้วยการพึ่งพาในกำลังของพระองค์ เพราะพระเยซูผ่านการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์มากมาย ผู้คนที่ไม่หวังดี และแม้แต่การต่อสู้กับจิตใจของพระองค์เองในสวนเกทเสมนี, การสร้างทีม ส่งทีมออกไปรับใช้, การรับใช้ด้วยหมายสำคัญอัศจรรย์, การเยี่ยมเยียนพี่น้อง และการอธิษฐาน

ตัวอย่างของพระเยซูคริสต์ ในเหตุการณ์การรับบัพติศมาในน้ำของพระองค์ พระบิดาทรงรับรองพระเยซูคริสต์อย่างชัดเจน 3 อย่าง ได้แก่ 1. รับรองว่าทรงมีอัตลักษณ์พิเศษ (Need for Identity) "เป็นบุตรที่รักของเรา" 2. รับรองว่าทรงรัก (Security Need) "เราชอบใจท่านมาก" 3. รับรองว่าทรงมีความสำคัญ (Need for Significance) "ทรงรับรองการเป็นพระเมสสิยาห์โดยการเจิมอย่างเต็มล้น"  การรับรองของพระบิดาที่มีในพระเยซูเป็นการรับรองแบบเดียวกับที่ผู้รับใช้ทุกคนปรารถนาจะได้รับเช่นเดียวกัน ความจริงพระเยซูทรงอยู่กับเราเสมอในการรับใช้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเราทรงเป็นผู้รับรองให้เกิดความมั่นใจในเรา

ในชีวิตจริงผู้รับใช้อาจต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากและว้าเหว่เกินความเข้าใจจนบางครั้งเหมือนจะไม่มีใครสามารถเข้าใจเราได้นอกจากพระเจ้า แต่อย่าลืมว่าที่บนกางเขนก็เป็นที่แห่งความว้าเหว่ที่สุดของพระเยซูเช่นกัน แต่พระองค์ก็ผ่านมาได้โดยไม่มีการยืนยันหรือรับรองใดใดที่เป็นพระสุรเสียงจากพระบิดาแม้ในเวลานั้นเป็นเวลาที่พระองค์ต้องการที่สุดก็ตาม แบบอย่างของความมุ่งมั่นของพระเยซูในการเชื่อฟังพระบิดาในการทำภารกิจช่วยกู้คนบาปจึงทำให้ผู้รับใช้ในปัจจุบันต้องตระหนักและตั้งใจเลียนแบบพระเยซูคริสต์ในเรื่องนี้ด้วย หากการทนทุกข์ของพระเยซูนำมาซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีที่ยิ่งใหญ่ในภายหลัง การทนทุกข์ของเราก็เช่นเดียวกันในที่สุดจะนำมาซึ่งศักดิ์ศรีในภายหลังเช่นกัน

พระเจ้าสามารถประทานความมั่นใจ กำลังใจ การยืนยันแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ผ่านหลายวิธีโดยพระวิญญาณฯ สามารถนำเราให้เห็นความจริงในพระคัมภีร์ในบางมุมที่เราไม่เคยเข้าใจ พระองค์สามารถตรัสกับเราผ่านคำเทศนา หรือผ่านคำของผู้เผยพระวจนะ หรือจะทรงสำแดงให้เราพบพระองค์ในนิมิตและความฝันหรือในภวังค์เหมือนอย่างเปโตร เปาโล ที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ก็เป็นได้ แต่ความมั่นใจในการรับใช้พระเจ้าของเราต้องฝากไว้ในพระเยซูคริสต์ให้พระองค์เป็นเจ้านายเหนือทุกสิ่ง เหนือการยืนยันใดใดจากมนุษย์หรือแม้แต่ความสำเร็จของงานรับใช้เองก็ตาม เพราะหากเราไม่พบความมั่นใจจากพระเยซูคริสต์ในการรับใช้พระเจ้า ในอีกมุมหนึ่งเราอาจกำลังแสวงหาการยอมรับจากมนุษย์หรือให้งานรับใช้กลายเป็นแหล่งแห่งความมั่นใจในชีวิตของเราแทนพระเจ้าก็ได้

คุณค่าของหนังสือเล่มนี้กำลังย้ำเตือนเราว่า แม้เราจะเผชิญกับอะไร อย่างไร นานเท่าใดในการรับใช้พระเจ้า ท้ายสุดผู้ที่ขับเคลื่อนงานรับใช้ของเราอย่างแท้จริงคือพระเยซูคริสต์นั่นเอง

ความคิดเห็น