พระวจนะในโลกโซเชี่ยล หลากหลาย สนุก น่าคิด แต่ลองพิจารณากันสักหน่อยไหม

เราคงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าในโลกโซเชี่ยลมีเดียในปัจจุบันเต็มไปด้วยการแชร์ความคิดพระคัมภีร์, สิ่งที่ได้จากการเฝ้าเดี่ยวหรือการอ่านพระคัมภีร์, เรื่องราวต่างๆ, ความเห็น, คำแนะนำในทางปฏิบัติ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เราในฐานะผู้อ่าน ควรจะมีมุมมองอย่างไรในเรื่องนี้

โลกโซเชี่ยลจะหาอะไรก็จะเจออยู่ที่เราอยากเชื่ออะไรหล่ะ

พระคัมภีร์เป็นหนังสือแห่งชีวิต "ที่เป็นเรื่องตลอดชีวิต"

ความตั้งใจที่จะนำหลักการในพระคัมภีร์มาประยุกต์ใช้จริง "เป็นการเรียนรู้ที่เป็นระยะยาว" อาศัยการใคร่ครวญ สมองที่เปิดรับ ประสบการณ์ชีวิตที่เดินกับพระเจ้า ความลงตัวของทั้งหมดในจังหวะต่างๆ ของชีวิต ประกอบกับเนื้อหาพระคัมภีร์ที่มีมากมาย การค่อยๆ อ่านค่อยๆ ศึกษาจึงจำเป็น เราไม่ควรรีบเร่งจนเกินไป เราอาจจะอ่านพระคัมภีร์แบบเร็วๆ สักรอบเพื่อมองเห็นภาพรวมก็ได้ แต่ถ้าตั้งใจจะอ่านเพื่อนำมาใช้จริงต้องค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ ซึมซับ

เลือกอ่าน เลือกเชื่อ เลือกศาสนศาสตร์ จะดีหรอ?

การศึกษาพระคัมภีร์ควรศึกษาในรื่องหลักๆ ก่อนลงลึกในรายละเอียด เหมือนการศึกษาแผนที่ในเมืองใหญ่ๆ สักเมือง เราต้องจับทางก่อนว่าถนนสายหลักอยู่ตรงไหน แล้วจึงค่อยๆ ลงไปไล่ดูในตรอกซอกซอย

กับดักความคิดที่ทำให้เรามักละเลยการศึกษาพระคัมภีร์ทั้งเล่มมีหลายอย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องความชอบส่วนตัวของผู้อ่านเอง ทำให้เกิดการอ่านแบบเลือกตามความพอใจ (selective reading) ทำให้เกิดความเชื่อตามที่ใจเราต้องการจะเชื่อ (selective faith) และมีข้อพระคัมภีร์หรือหลักการพระคัมภีร์ที่รับรองด้วย (selective theology) ซึ่งนั่นทำให้เกิดอคคติในการศึกษาพระคัมภีร์ เกิดความเชื่อมั่นและกล้าเคลมพระคัมภีร์อย่างไม่สมดุล

คริสเตียนบางคนอาจจะติดกับดักของรายละเอียดพระคัมภีร์มากจนเกินไปจนขาดความเข้าใจในภาพใหญ่ของพระคัมภีร์ ทำให้การแปลความในรายละเอียดผิดเพี้ยนไป บางคนอาจติดกับความชื่นชอบในเรื่องเหนือธรรมชาติ บางคนชอบเรื่องคำพยากรณ์ในยุคสุดท้ายจนเห็นอะไรก็เป็นเรื่องให้โยงได้ตลอด

การศึกษาพระคัมภีร์ที่ดีต้องกล้าอ่านให้ครบ กล้าเชื่อในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย กล้ายืนหยัดในความถูกต้องสมดุล

คอร์สพระคัมภีร์ที่คริสตจักรสร้างขึ้น จะเข้าร่วมหรือไม่แยแส?

คริสตจักรมีระบบการสอนพระคัมภีร์เป็นขั้นๆ เพื่อให้เรารับรู้พระคัมภีร์อย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่รากฐานจนถึงขั้นสูง เนื้อหาคำสอนได้รับการกลั่นกรองในความถูกต้องและเป็นประโยชน์แก่สมาชิก ฉะนั้นการเข้าโปรแกรมพระคัมภีร์ของคริสตจักรจึงช่วยเราได้มากให้เข้าใจพระคัมภีร์อย่างเป็นระบบและครบถ้วน

คำสอนในคริสตจักรมีตัวตนจริงๆ อยู่เบื้องหลัง เราสามารถเดินไปถามได้ทันทีหากเราไม่เข้าใจ

อย่าลืมว่าคริสตจักรมีตัวตนมีระบบ มีคนจริงๆ อยู่เบื้องหลัง เราสามารถเดินไปถามได้ทันทีหากเราไม่เข้าใจ หรือไม่เห็นด้วย ซึ่งต่างจากการอ่านแง่มุมต่างๆ จากโลกโซเชี่ยลซึ่งหลายครั้งให้ข้อมูลอย่างน่าตื่นเต้น น่าเชื่อถือ แต่พอมีคำถามเราก็ไม่รู้จะไปถามใคร ติดต่อได้บ้างไม่ได้บ้าง ซึ่งต่างจากคริสตจักรที่มีระบบการอภิบาลคือการดูแลฝ่ายจิตวิญญาณเป็นชั้นๆ หากเรามีคำถาม เราสามารถถามมายังพี่เลี้ยงหรือผู้นำคริสตจักรได้โดยตรงซึ่งเราจะได้รับประโยชน์มากกว่า

ทะเลทรายที่เวิ้งว้างแห้งแล้ง

ความแห้งแล้งในฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นเพราะเราไม่สัมผัสพระเจ้า เราอาจจะสนุกกับพระคัมภีร์หรือแนวความคิดใหม่ๆ แต่หากไม่ใช่ความลึกซึ้งในการรู้จักพระเจ้า เราไม่ได้สัมผัสแหล่งแห่งความสมบูรณ์ อย่าลืมว่าประวัติศาสตร์คริสตจักรช่วงหลัง ศต.ที่ 4 ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ค่อยๆ ถูกเพิ่มเติมด้วยวัตถุ ประเพณี และพิธีกรรมที่หรูหราจนกลายเป็นศาสนาที่ไร้จิตวิญญาณ วัตถุเจริญขึ้นแต่จิตวิญญาณกลับเสื่อมถอยแห้งแล้งไร้ชีวิต

โลกโซเชี่ยลอาจเป็นแหล่งข้อมูลที่ไม่จำกัดแต่ก็อาจเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งได้

สภาพภายนอกที่เราเพิ่มเข้ามาในปัจจุบันอาจไม่ใช่วัตถุก็ได้ แต่อาจเป็นความหยิ่ง, ความภูมิใจที่รู้จักพระเจ้ามานานกว่า, คิดว่าตัวเองรู้พระคัมภีร์มากกว่า ลึกกว่า, ภูมิใจในการยอมรับของพี่น้องมากกว่า, ภูมิใจในความสำเร็จภายนอก ความร่ำรวย การศึกษา เป็นต้น ถ้าเราไม่เน้นเรื่องฝ่ายวิญญาณเราก็จะไม่สามารถบริบูรณ์ฝ่ายวิญญาณ ความแห้งแล้งก็เกิดขึ้นและแก้ไม่หายถ้าไม่กลับมาเน้นเรื่องฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่พระคัมภีร์ไม่รู้หรือไม่ตื่นเต้นกับข้อมูลใหม่ๆ แต่กลับเป็นเรื่องใจของเรากับพระเจ้ามากกว่า โลกโซเชี่ยลอาจเป็นแหล่งข้อมูลที่ไม่จำกัดแต่ก็อาจเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งได้หากเราเดินท่องไปโดยที่พระเจ้าไม่อยู่ตรงนั้น

โลกโซเชี่ยล อำนาจของข้อมูลที่ปราศจากแบบอย่างชีวิต

พระวจนะที่แท้จริงไม่ได้มาจากอำนาจบางอย่างที่พยายามกดดันให้ยอมรับโดยปราศจากแบบอย่างของชีวิต เพราะพระวจนะกับชีวิตของผู้ประพฤติตามพระวจนะนั้นสำคัญมากแยกออกจากกันไม่ได้ ปัจจุบันข้อความมากมายในโลกโซเชียลมีเดียถูกส่งมาโดยปราศจาก "ตัวตนที่มองเห็นได้" ปราศจาก "ชีวิตที่เป็นที่ยอมรับ" ของคริสตจักรโดยทั่วไป หรือคำสอนมากมายในสื่อดิจิตัลที่เราไม่มีโอกาสสัมผัส "แบบอย่างที่พิสูจน์แล้ว"

แบบอย่างชีวิตที่จับต้องได้ควรเป็นสิ่งมีค่าสำหรับเรามากกว่าโซเชี่ยลมีเดีย

1 ทิโมธี 3 ทั้งบทได้ให้แนวคิดนี้ไว้ คือผู้ปกครองที่ดีจะต้องเป็นที่ยอมรับของคริสตจักรท้องถิ่น ในแบบที่พบเห็น สัมผัสชีวิตได้

1 ทิโมธี 3:1-7 คำกล่าวนี้สัตย์จริง คือว่าถ้าใครปรารถนาหน้าที่ผู้ปกครองดูแลคริสตจักร คนนั้นก็ปรารถนากิจการงานที่ประเสริฐ ผู้ปกครองดูแลนั้นจะต้องเป็นคนที่ไม่มีที่ติ เป็นสามีของหญิงคนเดียว รู้จักประมาณตน มีสติสัมปชัญญะ เป็นคนน่านับถือ มีอัธยาศัยต้อนรับแขก เหมาะที่จะเป็นอาจารย์ ไม่ดื่มสุรามึนเมา ไม่ชอบความรุนแรง แต่ผ่อนหนักผ่อนเบา ไม่ชอบการวิวาท ไม่เป็นคนเห็นแก่เงิน ปกครองครอบครัวของตนได้ดี อบรมบุตร ธิดา ให้มีความนอบน้อมด้วยความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง (เพราะถ้าชายคนไหนไม่รู้จักปกครองครอบครัวของตน คนนั้นจะดูแลคริสตจักรของพระเจ้าได้อย่างไร?) เขาจะต้องไม่ใช่คนที่เพิ่งกลับใจใหม่ เกรงว่าเขาจะยโส และถูกลงโทษเช่นเดียวกับมาร นอกจากนั้นเขาจะต้องมีชื่อเสียงดีในหมู่คนภายนอก เพื่อเขาจะไม่ถูกติเตียนและไม่ติดกับดักของมาร

อย่ารู้สึกว่าความรู้พระคัมภีร์ของเราคับแคบหากต้องฟังจากคนเพียงไม่กี่คนที่เรารู้จักทั้งๆ ที่เรารู้ว่าเขามีชีวิตที่ดีเป็นแบบอย่างในการติดตามพระเจ้า เพราะพระวจนะที่แท้จริงย่อมอยู่ในชีวิตของผู้เชื่อ ไม่ใช่อยู่ที่ระดับสมอง และหากเรามีพื้นฐานที่หนักแน่นในพระวจนะ เราย่อมกว้างขึ้นในการศึกษา แต่การศึกษาพระคัมภีร์ที่สูงขึ้นยังคงต้องตระหนักในการนำมาใช้ในชีวิตอยู่ดีไม่ใช่ศึกษาเพื่อจะมีความรู้ประดับสมอง และเราจำเป็นต้องเลือกหนังสือหรือสถานศึกษาที่ทั้งผู้เขียนและสถาบันเป็นที่รับรอง เพื่อเราจะไม่พลาดในการเรียนรู้พระคัมภีร์ที่มีแนวโน้มที่ผิดหรือไม่สมดุล

กรองหน่อยน่าจะดีกว่ารับทันทีนะ

ในโลกออนไลน์เต็มไปด้วยข้อมูลที่มีผู้เขียนมากมาย วิธีการคัดกรองคร่าวๆ ในเบื้องต้น คือ การพิจารณาแหล่งที่มาของคำสอนว่าสามารถเชื่อถือได้หรือไม่ ซึ่งสามารถนำหลักต่อไปนี้มาพิจารณา

  • พิจารณาหลักข้อเชื่อของผู้เขียน ซึ่งสามารถเจาะเข้าไปในชื่อหรือสังกัดแล้วเข้าไปอ่านได้เลย หากไม่มีให้อ่านขอให้เราตั้งข้อควรระวังไว้ก่อนเลยเพราะปกติหลักข้อเชื่อเป็นเรื่องที่ปกติมาก และหากหลักข้อเชื่อไม่ใช่หลักข้อเชื่อสากล ขอให้เราพิจารณาให้ดีว่าควรรับหรือไม่รับ
  • พิจารณาสังกัดที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง เช่น สภาคริสตจักร (Presbyterian), แบ๊พติศ (Baptist), สหกิจคริสเตียน (Evangelist), สภาคริสตจักรลูเธอร์แรนในประเทศไทย (Lutheran) เป็นต้น
  • พิจารณาสถาบันพระคริสตธรรมที่ได้รับการรับรอง (Accredited Seminary) เช่น พระคริสตธรรมกรุงเทพ (BBS), สถาบันกรุงเทพคริสตศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน (BIT), โรงเรียนคริสตศาสนาแบ๊พติศ, พระคริสตธรรมเพ็นเทคอสในประเทศไทย, พระคริสตธรรมเชียงใหม่, พระคริสตธรรมพะเยา เป็นต้น
  • สำหรับตัวบุคคล หรือบทความต่างประเทศ ให้ใช้หลักเดียวกัน คือผู้นั้นเกี่ยวข้องอย่างไรกับสังกัดที่ได้รับการรับรอง และมีความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระคริสตธรรมที่ได้รับการรับรองหรือไม่  อย่างไร
  • อย่าลืมดูคำอ้างอิงหรือที่มาของข้อเขียน หากไม่มีการอ้างอิงใดใดแสดงว่าผู้เขียนคิดเองทั้งหมด ต้องพิจารณาเองว่าผู้เขียน qualify หรือไม่ และที่ไม่ควรเลยคือคัดลอกความคิดของบางแหล่งมาแต่ไม่เขียนอ้างอิงที่มา นั่นถือว่าไม่สัตย์ซื่อในงานวิชาการแล้ว เราต้องคิดให้ดีในเรื่องนี้

อย่างไรก็ตามผมไม่ได้หมายความว่าผู้เขียนที่ไม่อยู่ในคุณสมบัติข้างต้นนี้จะเชื่อถือไม่ได้ แต่ผู้อ่านจำเป็นต้องแตะเบรคตัวเองนิดหนึ่งก่อนจะรับเอาความคิดเห็นจากโลกโซเชี่ยลเข้ามา และสิ่งที่น่ากลับมาทบทวนตัวเอง แม้เราจะชื่นชอบนักเทศน์บางคนใน YouTube, ชื่นชมบทความในบล๊อกต่างๆ, ชื่นชมความเห็นของบางคนใน Facebook, ตาม Instagram หรือ Twitter (X) ของอาจารย์บางท่าน

ให้เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องในคริสตจักรที่พระเจ้าทรงประทานแก่เรา

แต่อย่าลืมว่าเมื่อเราป่วย เมื่อเราท้อแท้ต้องการกำลัง เมื่อเราต้องการคำอธิษฐานเผื่อ เวลาเรารับบัพติศมา เวลาที่เราจะแต่งงาน หรือแม้ช่วงเวลาแห่งการไว้อาลัย เมื่อเราเดินไปโบสถ์ ศิษยาภิบาลและผู้นำทุกระดับในคริสตจักรของเราพร้อมที่จะเป็นผู้ที่เข้ามาต้อนรับและเข้าถึงชีวิตเราด้วยความรักและความจริงใจอยู่เสมอ แต่หากความชื่นชมต่อเขาเหล่านั้นหลายครั้งก็อาจเป็นสิ่งตรงกันข้ามก็เป็นได้

อ้างอิง

  • William H. Willimon. Pastor The Theology and Practice of Ordained Ministry. Nashville: Abingdon Press, 2002.
  • Ajith Fernando. Jesus Driven Ministry. Crossway Books, 2002.
  • Clyde Kilough, Why is Christianity Becoming Irrelevant?, Church of God, a Worldwide Association, Inc.
  • Jackson, Wayne. "Some Lessons from Church History." ChristianCourier.com. Access date: February 26, 2017. 
  • กอร์ดอน ลินเส, “ทำไมพระคัมภีร์จึงเป็นพระวจนะของพระเจ้า”. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์พระกิตติคุณ 1976.
  • ดาเนียล เอ็ม. โดริอานิ. “เข้าใจพระวจนะ”. กรุงเทพฯ: พระคริสตธรรมกรุงเทพฯ 2007.
  • ภาพวิวต่างๆ จาก google
  • ขอบคุณภาพถ่ายบรรยากาศในคริสตจักรกิจการของพระคริสต์และพี่น้องทุกท่านที่อยู่ในภาพ

ความคิดเห็น