จากข้อมูลสถิติการถวายสิบลดของคริสตจักรโปรเตสแตนท์อเมริกาในปี 2004 พบว่าในคริสตจักรที่เน้นการถวายสิบลด มี "จำนวนคน" ผู้ถวายจริง 5% ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด โดยจำนวนคริสเตียนถวายสิบลดมากที่สุดคือ 9% คือผู้เชื่อใหม่ ส่วน "จำนวนเงิน" ที่ถวายจะอยู่ในอัตรา 1.8%-2.6% ของเงินเดือนเท่านั้น
สถิติกำลังชี้ให้เห็นว่าแม้คริสตจักรจะเน้นเรื่องการถวายสิบลดที่เป็นจำนวน 10% อย่างเคร่งครัด สมาชิกก็ไม่ได้ตอบสนองมากเท่าที่ควร
คริสตจักรควรมีมุมมองเรื่องการถวายอย่างไร? เป็นคำถามที่น่าจะหาคำตอบด้วยกันครับ...
เรื่องการถวายในปัจจุบันเป็นประเด็นที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนสำหรับคริสตจักร หลายครั้งการถวายถูกใช้เพื่อเป็นการทดสอบใจของผู้เชื่อทำให้เกิดการถวายทรัพย์ออกไปจริงแต่หากแรงจูงใจอาจเป็นที่น่าเป็นห่วง เช่น
"ความคาดหวังพระพรจากการถวาย" จนเกิดความโลภในพระพรผ่านการตั้งเงื่อนไขต่อพระเจ้าในการถวายทรัพย์ว่าจะต้องได้รับพระพรกลับคืนมาในรูปแบบบางอย่างโดยเฉพาะเรื่องการอวยพรให้มีเงินหรือความมั่งคั่งเพิ่มมากขึ้น
หรือแรงจูงใจในการถวายเป็น "การเพิ่มแรงกดดันสร้างความรู้สึกฟ้องผิด" ขาดเสรีภาพ ไม่มีสันติสุขในใจ บางคนเกิดความรู้สึกเป็นภาระถวายเพราะแรงบีบคั้นทางสังคมหากไม่ถวายเมื่อผู้ถือถุงถวายถือผ่านมาในที่ของตน
เงินถวายประเภทที่สร้างความมีเสถียรภาพทางการเงินให้คริสตจักรมากที่สุดคงปฏิเสธเรื่องเงินถวายสิบลดไปไม่ได้ เพราะเป็นเงินถวายที่เป็นระบบ คาดเดาง่ายทั้งจำนวนและเวลา จึงเป็นระเบียบปฏิบัติในหลายคริสตจักรทั้งที่เน้นให้สมาชิกถวายสิบลด และถึงแม้บางแห่งจะพูดว่าไม่เน้น แต่หลายครั้งอาจต้องกลับมาตรวจสอบท่าทีแรงจูงใจในการถวายให้อยู่ในพระคุณและเสรีภาพอย่างแท้จริงว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่
ความจริงคืองานของพระเจ้าหรือพันธกิจของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่พระคัมภีร์คาดหวังให้เราทุกคนมีส่วนร่วมในทุกทางไม่เฉพาะเรื่องการถวายเท่านั้น แต่เรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งคือการสำแดงพระเจ้าต่อโลกนี้เพื่อนำโลกกลับคืนดีกับพระองค์ผ่านการเชื่อและวางใจในพระคริสต์โดยทางกางเขนซึ่งเป็นทางแห่งความรอดทางเดียว และงานของพระเจ้าจะมีเสถียรภาพที่สุดหากงานนั้นมีพระเยซูคริสต์ทรงร่วมกระทำอยู่ด้วย
เราจึงถวายชีวิตของเราให้พระเยซูก่อน แล้วจึงถวายทรัพย์ด้วยความเต็มใจ ตระหนักว่าทุกสิ่งรวมถึงทรัพย์ที่เรามีเป็นของพระเจ้า เราเป็นเพียงผู้อารักขาหรือผู้มอบฉันทะจากพระเจ้าในการดูแลสิ่งที่ได้รับมา (1 โครินธ์ 4:1-2, 1 โครินธ์ 4:7) และมอบทรัพย์สินของเรา ตลอดจน เวลา สติปัญญาความสามารถให้พระองค์ด้วยความยินดีโดยตระหนักในพระคุณ ทำอย่างสัตย์ซื่อสุดความสามารถของเรา
ในขณะที่คริสตจักรมีค่าใช้จ่ายมากมายเพื่อให้เราและพี่น้องได้รับพระพรมากที่สุดและเพื่อให้งานของพระเจ้าดำเนินไปได้เป็นอย่างดี เราจะนิ่งดูดายไม่ช่วยกันถวายทรัพย์ แรงงาน หรือเวลาของเราได้อย่างไร เสรีภาพของเราที่มาโดยพระคุณต้องเป็นเสรีภาพที่ประกอบไปด้วยความรักและความรับผิดชอบในการแบกภาระของกันและกันด้วย หากเราสอนโดยเน้นเรื่องพระคุณและความรับผิดชอบ สมาชิกจะเริ่มถวายด้วยความร่วมใจเพราะเห็นแก่งานของพระเจ้าที่มีความจำเป็นบางอย่างจริงๆ ไม่ใช่เป็นการถวายที่ทำเป็นประจำโดยขาดความรู้สึกร่วมในการรับใช้ในคริสตจักร การถวายด้วยใจกว้างขวางจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากความเติบโตฝ่ายวิญญาณที่สมาชิกปรารถนาจะร่วมแบกรับภาระในทุกๆ ด้านร่วมกับพี่น้องทุกคน
ลองเปลี่ยนมุมมองและจุดเน้นในการสอนไปที่การถวายด้วยความเต็มใจแทนที่จะเน้นการถวายสิบลดดูสิครับ ท่านอาจพบว่า เสถียรภาพการเงินในคริสตจักรดีขึ้นก็เป็นได้... ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
สถิติกำลังชี้ให้เห็นว่าแม้คริสตจักรจะเน้นเรื่องการถวายสิบลดที่เป็นจำนวน 10% อย่างเคร่งครัด สมาชิกก็ไม่ได้ตอบสนองมากเท่าที่ควร
คริสตจักรควรมีมุมมองเรื่องการถวายอย่างไร? เป็นคำถามที่น่าจะหาคำตอบด้วยกันครับ...
เรื่องการถวายในปัจจุบันเป็นประเด็นที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนสำหรับคริสตจักร หลายครั้งการถวายถูกใช้เพื่อเป็นการทดสอบใจของผู้เชื่อทำให้เกิดการถวายทรัพย์ออกไปจริงแต่หากแรงจูงใจอาจเป็นที่น่าเป็นห่วง เช่น
"ความคาดหวังพระพรจากการถวาย" จนเกิดความโลภในพระพรผ่านการตั้งเงื่อนไขต่อพระเจ้าในการถวายทรัพย์ว่าจะต้องได้รับพระพรกลับคืนมาในรูปแบบบางอย่างโดยเฉพาะเรื่องการอวยพรให้มีเงินหรือความมั่งคั่งเพิ่มมากขึ้น
หรือแรงจูงใจในการถวายเป็น "การเพิ่มแรงกดดันสร้างความรู้สึกฟ้องผิด" ขาดเสรีภาพ ไม่มีสันติสุขในใจ บางคนเกิดความรู้สึกเป็นภาระถวายเพราะแรงบีบคั้นทางสังคมหากไม่ถวายเมื่อผู้ถือถุงถวายถือผ่านมาในที่ของตน
เงินถวายประเภทที่สร้างความมีเสถียรภาพทางการเงินให้คริสตจักรมากที่สุดคงปฏิเสธเรื่องเงินถวายสิบลดไปไม่ได้ เพราะเป็นเงินถวายที่เป็นระบบ คาดเดาง่ายทั้งจำนวนและเวลา จึงเป็นระเบียบปฏิบัติในหลายคริสตจักรทั้งที่เน้นให้สมาชิกถวายสิบลด และถึงแม้บางแห่งจะพูดว่าไม่เน้น แต่หลายครั้งอาจต้องกลับมาตรวจสอบท่าทีแรงจูงใจในการถวายให้อยู่ในพระคุณและเสรีภาพอย่างแท้จริงว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่
ความจริงคืองานของพระเจ้าหรือพันธกิจของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่พระคัมภีร์คาดหวังให้เราทุกคนมีส่วนร่วมในทุกทางไม่เฉพาะเรื่องการถวายเท่านั้น แต่เรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งคือการสำแดงพระเจ้าต่อโลกนี้เพื่อนำโลกกลับคืนดีกับพระองค์ผ่านการเชื่อและวางใจในพระคริสต์โดยทางกางเขนซึ่งเป็นทางแห่งความรอดทางเดียว และงานของพระเจ้าจะมีเสถียรภาพที่สุดหากงานนั้นมีพระเยซูคริสต์ทรงร่วมกระทำอยู่ด้วย
ฮัดสัน เทเลอร์ มิชชันนารีผู้บุกเบิกประเทศจีนตอนใน ได้กล่าวว่า “งานของพระเจ้าที่กระทำในวิถีของพระเจ้า จะไม่มีวันขาดปัจจัยมากมายที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม”ให้เราไว้วางใจในวิถีของพระเจ้า เริ่มสอนพระคัมภีร์เรื่องการถวายด้วยความเต็มใจ (โรม 12:1) ด้วยใจขอบพระคุณ ไม่นึกเสียดาย สอนสมาชิกให้รู้จักการไว้วางใจในพระเจ้า เป็นผู้อารักขาที่ดี และมีส่วนในการรับใช้ในทุกๆ เรื่องรวมถึงด้านการถวายทรัพย์ด้วย สัจจะจะปลดปล่อยให้เราเป็นไท (ยอห์น 8:31-32) การสอนให้สมาชิกเข้าใจเราจะได้ชีวิตที่เป็นไท เติบโตจากภายใน และมีความสมดุลมากกว่าในทุกๆ เรื่อง
เราจึงถวายชีวิตของเราให้พระเยซูก่อน แล้วจึงถวายทรัพย์ด้วยความเต็มใจ ตระหนักว่าทุกสิ่งรวมถึงทรัพย์ที่เรามีเป็นของพระเจ้า เราเป็นเพียงผู้อารักขาหรือผู้มอบฉันทะจากพระเจ้าในการดูแลสิ่งที่ได้รับมา (1 โครินธ์ 4:1-2, 1 โครินธ์ 4:7) และมอบทรัพย์สินของเรา ตลอดจน เวลา สติปัญญาความสามารถให้พระองค์ด้วยความยินดีโดยตระหนักในพระคุณ ทำอย่างสัตย์ซื่อสุดความสามารถของเรา
เมื่อเป็นโดยพระคุณไม่ได้โดยกฎบัญญัติ
จึงไม่ควรยึดติดกับจำนวนเงิน จำนวนเวลา หรือจำนวนศักยภาพความสามารถที่เราถวายให้แก่งานของพระเจ้า
เพราะทั้งสิ้นเป็นของพระองค์เพื่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว
ให้เรามีเสรีภาพฝ่ายวิญญาณในการถวายทั้งสิ้นแด่พระองค์
ในการถวายทรัพย์ก็เช่นกัน เราไม่ควรถูกเร่งเร้าให้ถวายด้วยแรงจูงใจที่ให้มนุษย์เป็นศูนย์กลาง
(Anthropocentric) เช่น ความกลัวจะขาดพระพร, ความรู้สึกถูกจับตามองจากคนรอบข้างหรือสังคม, ความรู้สึกต้องประพฤติตามกฎบัญญัติในระเบียบสิบลดหรือทศางค์แบบพระคัมภีร์เดิม,
หรือแม้แต่การโลภอยากได้รับพระพรเป็นการตอบแทนเมื่อเราถวายออกไป การถวายที่ถูกต้องต้องมาจากแรงจูงใจที่ดีเพื่อพระเจ้าให้พระองค์เป็นศูนย์กลาง
(Theocentric) โดยการถวายด้วยใจขอบพระคุณ, ด้วยความสมัครใจ, ด้วยความรับผิดชอบต่องานของพระเจ้าในคริสตจักร,
และให้เรามีเสรีภาพตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการให้ด้วยใจกว้างขวาง
(2 โครินธ์ 8:2-3, 2 โครินธ์ 9:5, 2 โครินธ์ 9:7)
อย่างไรก็ดี "การมีพระคุณในชีวิตไม่ได้หมายถึงการขาดความรับผิดชอบต่อผู้อื่น" โดยเฉพาะต่อพี่น้องและงานของพระเจ้าในคริสตจักร ในพระธรรมกาลาเทีย 5:13 สอนไว้อย่างชัดเจนว่า “เพราะว่าท่านถูกเรียกให้มีเสรีภาพ ขอแต่เพียงอย่าถือโอกาสใช้เสรีภาพเพื่อทำตามเนื้อหนัง แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก” แสดงว่าเสรีภาพที่เรามีจึงไม่ใช่เพื่อตอบสนองเนื้อหนังและความต้องการของเราเอง แต่ตอบสนองพระคริสต์ และรับใช้กันและกันด้วยความรับผิดชอบ (กาลาเทีย 6:2)ในขณะที่คริสตจักรมีค่าใช้จ่ายมากมายเพื่อให้เราและพี่น้องได้รับพระพรมากที่สุดและเพื่อให้งานของพระเจ้าดำเนินไปได้เป็นอย่างดี เราจะนิ่งดูดายไม่ช่วยกันถวายทรัพย์ แรงงาน หรือเวลาของเราได้อย่างไร เสรีภาพของเราที่มาโดยพระคุณต้องเป็นเสรีภาพที่ประกอบไปด้วยความรักและความรับผิดชอบในการแบกภาระของกันและกันด้วย หากเราสอนโดยเน้นเรื่องพระคุณและความรับผิดชอบ สมาชิกจะเริ่มถวายด้วยความร่วมใจเพราะเห็นแก่งานของพระเจ้าที่มีความจำเป็นบางอย่างจริงๆ ไม่ใช่เป็นการถวายที่ทำเป็นประจำโดยขาดความรู้สึกร่วมในการรับใช้ในคริสตจักร การถวายด้วยใจกว้างขวางจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากความเติบโตฝ่ายวิญญาณที่สมาชิกปรารถนาจะร่วมแบกรับภาระในทุกๆ ด้านร่วมกับพี่น้องทุกคน
ลองเปลี่ยนมุมมองและจุดเน้นในการสอนไปที่การถวายด้วยความเต็มใจแทนที่จะเน้นการถวายสิบลดดูสิครับ ท่านอาจพบว่า เสถียรภาพการเงินในคริสตจักรดีขึ้นก็เป็นได้... ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
อ้างอิง
- Allen, Roland. Missionary Methods: St. Paul’s or Ours?, Cambridge: The Lutterworth Press, 2006.
- Anderson, Ray S. The Shape of Practical Theology: Empowering ministry with theological praxis. Downers Grove: Inter Varsity Press, 2001.
- Croteau, David A. You Mean I Don't Have to Tithe?:A Deconstruction of Tithing and a Reconstruction of Post-Tithe Giving. Wipf and Stock Publishers, 2010.
- DeFazio, James. The Tithe. Xulon Press, 2007.
- Leslie T. Lyall. A Passion for the Impossible: The Continuing Story of the Mission Hudson Taylor Began. London: OMF Books, 1965, 37.
- Parker, Joel P. Tithing in the Age of Grace. Trafford Publishing, 2003.
- Willimon, William H. Pastor: The Theology and Practice of Ordained Ministry. Abingdon Press, 2002.
ความคิดเห็น