มุมมองประวัติศาสตร์และสังคมเกี่ยวกับประเพณีลอยกระทง

หลังจากศึกษาจากหลากหลายแหล่งเกี่ยวกับประเพณีลอยกระทง พบว่าการลอยกระทงเป็นประเพณีร่วมในอุษาคเนย์ ไม่ใช่วัฒนธรรมต้นทางที่เป็นการผูกขาดจากสุโขทัยแต่อย่างใด

ลอยกระทงในภาพสลักหินนูนต่ำ ปราสาทบายน นครธม กัมพูชา สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งตัวปราสาทมีมาก่อนสุโขทัย

ลอยกระทงแต่ดั้งเดิมเป็นพิธีบูชา "ผีน้ำ" ตามศาสนาผีซึ่งเป็นศาสนาแรกของคนอุษาคเนย์ หลักฐานทางโบราณคดีสามารถพบได้ในวัฒนธรรมขอม ลาวใต้ พม่า ไปจนถึง อินเดีย และจีน แต่มีการให้คติความหมายและรูปแบบต่างไปบ้าง เช่น เขมร ลาวใต้ จะบูชาผี กระทงจะทำเป็นรูปเรือบ้างกระทงดอกบัวบ้างเพื่อให้ความหมายทางสัญลักษณ์เป็นการส่งวิญญาณข้ามไปอีกภพหนึ่ง และในแต่ละท้องถิ่นยังมีความหลากหลายของความหมายเพื่อเป็นคติที่รับใช้อำนาจบางอย่างในสังคมสมัยนั้น

เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2017 ผมมีโอกาสปรึกษาเป็นการส่วนตัวกับ ผศ.ดร.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์, อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมไว้ว่า

โดยความเห็นส่วนตัว ถ้าว่ากันตามหลักฐาน ลอยกระทงเริ่มต้นจากจีน โดยใช้เพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษ สัมพันธ์กับการแพร่กระจายของศาสนาเต๋าและพุทธ ตั้งแต่ราชวงศ์ถัง จากนั้นจึงแพร่กระจายไปยังที่ต่างๆ ผ่านเส้นทางทางบกไปพบที่เมืองหริภุญไชย ผ่านเส้นทางทางทะเลไปที่เมืองพระนครดังพบที่ปราสาทบายน ซึ่งรัฐในลุ่มน้ำเจ้าพระยาคือ อยุธยาได้รับมาใช้ แล้วอาจแพร่กระจายไปยังที่ต่างๆ ที่แน่ๆ คือสืบทอดมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งพัฒนาเป็นประเพณีหลวงและราษฎรในสมัยรัชกาลที่ 3 จึงเกิดการแต่งวรรณกรรมเรื่องนางนพมาศ (แต่นางนพมาศไม่ได้เกิดในสมัยสุโขทัย สุโขทัยคือฉากของเรื่อง)

สำหรับในรัฐไทย/สยาม/ประเทศไทยจะทำเป็นดอกบัวเพื่อสื่อถึงการประสูติของพระพุทธเจ้า ซึ่งมาจากการบูชาพระแม่คงคา หรืออีกคติหนึ่งคือการบูชาผีน้ำ หรือขอขมาลาโทษผีน้ำ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามภาพสลักปราสาทบายนอาจถูกตีความอีกอย่างคือการถวายบายศรีที่ประกอบด้วยต้นกะเพราเพื่อบูชาพระวิษณุในไวษณพนิกายก็เป็นได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องการลอยกระทงแต่อย่างใด

ปัจจุบันการลอยกระทงถูกผสมผสานด้วยแนวคิดทางเศรษฐกิจทำให้กลายเป็นการเน้นการละเล่นรื่นเริงแทนที่จะกลับมาถามหาความหมายที่แท้จริง ถ้าสังเกตแนวคิดของวัฒนธรรมชาวไทย คติความเชื่อดั้งเดิมจะเริ่มจากเรื่องผี (ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี) ถูกครอบด้วยคติพราหมณ์ฮินดู พุทธ และเศรษฐกิจ สุดท้ายกลายเป็นวัฒนธรรมผสมผสานไป ซึ่งแม้จะไม่คิดแต่ในความรู้สึกของคนไทยจะไม่ค่อยต่างกันคือการขอขมาพระแม่คงคาในคติของผีและพราหมณ์ รูปกระทงเป็นทรงดอกบัวในคติของพุทธ ลอยในการละเล่นที่เป็นงานประเพณีสามารถขายของส่งผลทางเศรษฐกิจในพื้นที่นั้นๆ ได้

ชาวคริสต์ในสังคมไทยต้องเข้าใจแนวคิดทางวัฒนธรรมเพื่อความปรองดองและอยู่ร่วมกันในวัฒนธรรมแม้จะมีคติที่แตกต่างกัน แต่ก็สามารถยอมรับและให้เกียรติซึ่งกันและกัน บางอย่างอาจจะร่วมได้ บางอย่างอาจร่วมไม่ได้ หรือบางอย่างอาจจะปรับใส่ความหมายของวัฒนธรรมเดิมด้วยแนวคิดของคติคริสต์ (culturalization) ซึ่งต้องยอมรับว่าอาจไม่ได้ทั้งหมดซึ่งจำเป็นที่ชาวคริสต์ต้องเข้าใจความคิดดั้งเดิมและดูความพร้อมของสังคมไทยว่าจะสามารถรับเอาความหมายใหม่ไปด้วยกันได้หรือไม่

ข้อคิดที่น่าสนใจจากการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติ การรับคติความเชื่อต่างๆ ของรัฐไทยมักเป็นการครอบจากบนลงล่าง และเป็นการครอบแบบยอมรับไม่ขัดแย้งกับวัฒนธรรมเดิม คือรับเอาทั้งหมดผสมๆ กันไปโดยไม่รู้สึกขัดแย้งแต่อย่างใด แนวคิดนี้ไม่เหมือนทางตะวันตก เริ่มตั้งแต่สมัยหลังจักรพรรดิคอนสแตนติน จนถึงยุคต่างๆ ของยุโรป ที่เป็นการครอบจากผู้มีอำนาจ โน้มน้าว สั่งสอน ตลอดจนใช้อำนาจในการบังคับให้เปลี่ยนศาสนา และเปลี่ยนประเพณีดั้งเดิมให้เป็นความหมายใหม่ทางคติคริสต์

ในเบื้องต้นจากการพิจารณามุมมองทางประวัติศาสตร์ เรื่องลอยกระทงยังคงต้องรอความพร้อมทางสังคมไทยมากกว่านี้จึงสามารถปรับใส่ความหมายตามคติความเชื่อแบบคริสต์เข้าไปเป็นหนึ่งในอีกความหมายของประเพณีลอยกระทงของไทยได้โดยไม่รู้สึกขัดแย้งหรือแปลกแยก และแม้จะทำได้ในประเทศไทย วัฒนธรรมนี้ยังคงให้ความหมายแนวเดิมในอีกหลายประเทศในอุษาคเนย์ซึ่งไม่ใช่ทุกประเทศจะมีความพร้อมสามารถเปิดรับไปได้ด้วยกัน

อย่างไรก็ตามชาวคริสต์ต้องกล้าที่จะประยุกต์วัฒนธรรมเดิมและกล้าที่จะสร้างวัฒนธรรมใหม่ในวิถีของคนไทยเพราะเราเป็นคนไทยเหมือนทุกคนทุกศาสนาในประเทศนี้เช่นกัน

อ้างอิง: ศ.ดร.นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์, ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษรศิริ, อ.สุจิตต์ วงษ์เทศ, และ ผศ.ดร.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์, อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ความคิดเห็น