William Miller |
1. วิลเลี่ยม มิลเลอร์ (William Miller, 1782-1849) นักเทศน์ของคณะแบ๊บติสต์ ได้เทศนาสั่งสอนอย่างร้อนรนว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาในวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ.1844 ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์สอนอย่างชัดเจนว่าโมงใดยามใดไม่มีใครรู้ได้ และแม้จะได้รับการทักท้วงจากคณะแบ๊บติสต์แล้วก็ตาม เมื่อถึงวันนั้น พระเยซูก็ไม่ได้เสด็จกลับมา มิลเลอร์จึงยอมรับผิด เลิกเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ แต่สาวกบางคนไม่ยุติ และเริ่มก่อตั้งคณะเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสขึ้น
2. เซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสอ้างว่าวันที่มิลเลอร์ทำนายนั้นถูกแล้ว แต่ไม่ใช่จะเสด็จกลับมา เป็นวันที่พระเยซูได้เริ่มพระราชกิจสุดท้ายที่รู้กันในชื่อว่าการพิพากษาสืบสวน (Investigative Judgment) เพื่อพระองค์จะตัดสินใจว่าใครบางสมควรที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ เมื่อพระคริสต์ได้เสร็จพระราชกิจนี้แล้ว พระองค์จึงจะเสด็จกลับมาสู่โลกนี้ ฉะนั้นสาวกของเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสจึงไม่แน่ใจในความรอด เพราะแม้จะเชื่อวางใจในพระเยซูแล้วก็ยังต้อง “แล้วแต่พระเยซู” จะคัดเลือกอีกว่าใครจะสมควรแก่ความรอด (พระคัมภีร์ไม่ได้สอนแบบนั้น ลองอ่านยอห์น 5:24)
3. โจเซฟ เบทส์ (Joseph Bates) ผู้นำรุ่นแรกสรุปว่าวันสะบาโตตามหลักพระคัมภีร์เดิมเป็นวันเสาร์ (ดวงอาทิตย์ตกในวันศุกร์จนถึงดวงอาทิตย์ตกในวันเสาร์) ไม่ใช่วันอาทิตย์ จึงเปลี่ยนการประชุมนมัสการเป็นวันที่ 7 (Seventh day) คือวันเสาร์แทน ชื่อเซเว่นธ์เดย์ หมายถึงวันที่ 7 นั่นเอง การยอมรับธรรมบัญญัติในเรื่องนี้ทำให้ต้องรับธรรมบัญญัติที่เหลืออีกหลายข้อมาปฏิบัติด้วย
Ellen G. White 1899 |
4. แอลเลน จี. ไวท์ (Mrs. Ellen G. White) ถูกนับถือว่าเป็นผู้มีวิญญาณการเผยพระวจนะ สิ่งที่เธอพูดหรือเขียนจะได้รับการยอมรับและมีสิทธิอำนาจเท่าเทียมพระคัมภีร์ แม้ในปัจจุบันคำสอนของเธอยังถูกพิมพ์และสอนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือ The Great Controversy
The Great Controversy |
5. แอลเลน จี. ไวท์ สอนว่าทูตสวรรค์มีคาเอลเป็นชื่อหนึ่งของพระเยซู อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีพระคัมภีร์สนับสนุนในเรื่องนี้
6. เซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส อธิบายว่านรกเป็นที่ของมารเท่านั้น ผู้ที่ไม่เชื่อเมื่อตายไปจะอยู่ในสภาพ “วิญญาณหลับ” และไม่มีความรู้สึกรับรู้อะไรทั้งสิ้น สภาพนี้เรียกว่า (Unconscious State) ซึ่งคำสอนนี้ที่ไม่ถูกต้องตามพระวจนะพระเจ้า (อ่านวิวรณ์ 6:9-10)
7. คริสตจักรวันเสาร์ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องกับกรมศาสนา จึงเป็น 1 ใน 4 องค์การของคริสเตียนโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย แต่โปรเตสแตนต์ในประเทศไทยไม่ได้ให้การยอมรับแบบนั้น เพราะสอนเรื่องสำคัญที่สุดคือเรื่องความรอดผิดเพี้ยนไปจากพระคัมภีร์
ความคิดเห็น
ในการพยายามยื่น พรบ.ศาสนาคริสต์ ได้รวมเอาเซเว่นเดย์เข้ามาเป็น 1 ใน 5 ขององค์การใหญ่ทางศาสนาคริสต์ด้วย ได้แก่ คาทอลิค สภาฯ สหกิจฯ แบ๊พติสต์ และเซเว่นเดย์
หาข้อมูลทางนี้ได้ครับ
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C
และข้อมูลของมูลนิธิคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย
http://www.adventist.or.th/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2/
ที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ด้านบน นั้นดูจะมีข้อมูลที่ไม่ตรงกับที่คริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสของเราสอนนะครับ ในทุกๆข้อจะมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและบิดเบือนเหมือนจะเป็นการโจมตีในแง่ลบนะครับ
ต้องขออภัยหากผมเค้าใจความตั้งใจของผู้เขียนผิดไปนะครับ
ถ้าหากอยากจะทราบหรือแนะนำอะไรสามารถพบผมได้ที่
คริสตจักรจีนเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส สายใหม่ได้นะครับ เราเพิ่งย้ายจากสามย่านไปที่ใหม่ครับ ยินดีให้ความกระจ่างในทุกๆหัวข้ออย่างเป็นมิตรครับ
Line ID: joeapirakd
1. ประเด็นทางพระคัมภีร์ .....
พี่น้องคริสเตียนที่หยุดพักในวันอาทิตย์แทนวันเสาร์ได้ให้เหตุผลว่าพระเยซูทรงฟื้นคืนชีพในวันอาทิตย์ ฉะนั้นพวกเขาจึงสมควรฉลองในวันนั้นถือว่าเป็นวันที่พระเยซูได้รับชัยชนะ และพวกเขาก็ยกข้อพระคัมภีร์บางข้อที่กล่าวถึงวันอาทิตย์มาสนับสนุนความเชื่อนี้ เช่น ยอห์น 20:19.กิจการ 20:7,จากข้อพระคัมภีร์ดังกล่าวพวกเขาเชื่อว่า พระเจ้าได้เปลี่ยนวันสำคัญของพระองค์จากวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์แล้วหลังจากที่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์จากความตาย
1.ยอห์น 20:19 ได้พูดถึงสถานการในตอนนั้นว่า เป็นวันแรกสัปดาห์(วันอาทิตย์) และพวกสาวกกลัวพวกยิวจึงไปรวมตัวกัน ณ ห้องหนึ่งปิดประตูมิดชิด แต่พระเยซูมาปรากฏตัวต่อพวกเขา....พระคัมภีร์ข้อนี้ไม่ได้บอกว่าเป็นวันหยุดพัก แม้พวกสาวกจะไปรวมตัวกันในห้องนั้น ในวันนั้น แต่พวกเขาไปรวมตัวกันด้วยเหตุผลใดนั้นพระคัมภีร์ไม่ได้บอกชัด แต่ที่แน่ๆ ไม่ได้บอกว่าเพราะวันนั้นเป็นวันหยุดพัก. ดังนั้นพี่ถ้าจะอ้างพระคัมภีร์ข้อนี้มาเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนวันสำคัญจากวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์ นั้นจึงยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ
กิจการ 20:7 บอกว่า ในวันต้นสัปดาห์(วันอาทิตย์ ) พวกสาวกประชุมกันหักขนมปัง เปาโลสั่งสอนพวกเขาจนถึงเที่ยงคืน เพราะวันรุ่งขึ้นเปาโลจะลาไปจากพวกเขา แต่น่าสังเกตุว่า ในยุคนั้นผู้เชื่อไม่ได้หักขนมปังในวันอาทิตย์วันเดียวเหมือนพี่น้องคริสเตียนทำกันทุกวันนี้ แต่เขาทั้งหลายหักขนมปังทุกวันเรื่อยไป (กิจการ 2:46) ก็แสดงว่าเขาหักตั้งแต่วันอาทิตย์ถึงวันเสาร์ ดังนั้นการประชุมเพื่อหักขนมปังกินร่วมกันในวันอาทิตย์ จึงไม่ใช้เหตุผลให้เปลี่ยนวันสำคัญของพระเจ้าจากวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์แทนได้
2. ประเด็นของทางประวัติศาสตร์ของคริสตศาสนา จากการอ่านบทความที่เขียนขึ้นในเวบไซ้ท์ นี้ (http://www.the-bible-sabbath.com/origin-sunday-worship.html) ที่กล่าวถึงเรื่อง สะบาโตในพระคัมภีร์ ได้อ้างอิงหนังสือประวัติศาสตร์ คริสต์ศาสนาหลายข้อหลายบทที่ได้บันทึกถึงความเป็นมาของเรื่องกานนับถือวันอาทิตย์ แทนวันเสาร์ เปาโลผู้ที่ถูกอ้างเสมอถึงข้อเขียนของท่านในเรื่องการเปลี่ยนวันนมัสการจากวันเสาร์มาเป็นวันอาทติย์นั้นมีชีวิตอยู่ช่วงเวลาประมาณปี ค.ศ. 54-64 แต่กลับไม่พบทางประวัติศาสตร์เลยว่ามีคริสเตียนนมัสการในวันอาทิตย์ในยุคของท่าน จากประวัติศาสตร์ไม่มีคริสเตียนคณะใดปฏิเสธได้ว่า วันอาทิตย์เดิมที่เป็นวันกราบไหว้เทพเจ้าของคนนอกศาสนา และต่อมาได้ถูกประกาศนำมาเป็นวันหยุดพักงานและนำมาให้คริสเตียนนมัสการพระเจ้าแทนวันเสาร์อย่างเป็นทางการ ค.ศ 321 โดยจักรพรรดิคอนแสตนตีน คำถามคือถ้าพระเจ้าแจ้งการเปลี่ยนแปลงวันสำคัญของพระองค์จากวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์โดยผ่านข้อเขียนของเปาโลจริง เหตุไรทางประวัติศาสตร์จึงไม่ปรากฏว่า คริสเตียนในยุคของท่านเปาโลมีการนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์? เพราะเหตุใดวันอาทิตย์เพิ่งจะเข้ามามีบทบาทต่อคริสเตียนหลังกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายไปแล้ว?
สำหรับในมุมมองของเซเว่นธ์เดย์นั้น มองว่าแม้ทุกวันนี้จะมีพี่น้องคริสเตียนจำนวนมากให้ความสำคัญวันอาทิตย์แทนเสาร์วันของพระเจ้าไปแล้ว แต่พระองค์มิได้หันพระพักตร์ของพระองค์ ออกจากพวกเขา ตรงกันข้ามพระองค์ยังรักเขาอยู่และยังทรงนำเขาอยู่ ทรงดูแลเขาอย่างที่เขาเป็น และช่วยเหลือเขาอย่างที่เขาเชื่อ วันหนึ่งพระองค์จะนำเขามาถึงจุดนี้ คือจุดที่เซเว่นธ์เดย์ยืนอยู่ และเราจะไปพร้อมกัน ดังนั้นจุดยืนของเซเว่นธ์เดย์คือทุกคนคือพี่น้อง และไม่เห็นดีกับการโจมตีซึ่งกันและกันออกสู่สาธารณะเพราะนั้นไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า แต่ให้เราแชร์ความเข้าใจเพื่อเสริมกันและกันน่าจะดีกว่า
จากข้อความข้างบนท่านผู้เขียนไม่มี้ความรู้เลยทั้งเรื่องพระคัมภีรม์และประวัติศาศตร์เขียนตามใจโดยไม่มีมหลักและเหตุผล