เหตุการณ์การปฏิวัติ 2475 ไม่ใช่เป็นเรื่องของคู่กรณีคือคณะราษฎร และระบอบการปกครอบแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่เป็นความเห็นชอบ เห็นด้วยจากประชาชนทุกระดับที่เรียกตัวเองใหม่ว่า "ราษฏร"
หนังสือเล่มนี้ให้นิยามและปฏิบัติการที่สะท้อนคำว่า "บูรณาการ" และ "ทุกภาคส่วน" ได้เป็นอย่างดี เพราะได้นำเสนอมุมมองผู้ก่อการปฏิวัติที่ก่อการจากกระแสมติเห็นชอบ เห็นด้วยจากประชาชนในทุกระดับ ทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการ สื่อมวลชน พ่อค้า นักศึกษา ไม่เว้นแม้แต่เจ้านายบางคน ที่เห็นว่าตัวเองน่าจะเป็นราษฏรมากกว่า
ผลของการปฏิวัติยังทำให้ราษฏรคนธรรมดา สามารถมีโอกาสขึ้นไปสู่อำนาจปกครองได้ เพราะแต่เดิมใช้ระบบ "ชาติวุฒิ" เปลี่ยนมาเป็นระบบ "คุณวุฒิ" โดยดูจากระดับการศึกษาและความสามารถ มากกว่าชาติตระกูลเป็นหลัก ทำให้ทุกคนในชาติสามารถเข้าถึงอำนาจได้
อย่างไรก็ตามยุคนั้นเสรีภาพยังอยู่ในระดับค่อยเป็นค่อยไป รัฐบาลออกแบบนโยบายให้บริการประชาชนมากมาย แต่ก็ควบคุมอำนาจของประชาชนอยู่ มีการคุมสื่อ คุมความประพฤติของเจ้านาย เนรเทศเจ้านาย ข้าราชการ ผู้มีอำนาจที่นิยมเจ้า เป็นต้น แต่ก็ดีกว่าสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาก
มีคำถามว่า แล้วการปฏิวัติ 2475 เป็นการชิงสุกก่อนห่ามหรือไม่? คำตอบเหมือนเหรียญ 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือ ร.5 โลกทัศน์กว้างขวางทรงเข้าใจดี ร.6 สร้างดุสิตธานี ร.7 จ้างฝรั่งมาร่างรัฐธรรมนูญเตรียมไว้แล้ว แต่อีกด้านหนึ่งก็บอกว่าไม่ชิงสุกก่อนห่ามหรอก เพราะถ้าพระองค์ทรงเตรียมไว้แล้ว ทรงรออะไรอยู่ตั้งนาน สถานการณ์บ้านเมืองตอนนั้นก็สุกงอม อยู่ในภาวะคับขันจากเศรษฐกิจฝืดเคืองจากยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชาชนถูกกดขี่ กีดกันจากกลุ่มเจ้านายชั้นสูง การศึกษาถูกกีดกันไว้เฉพาะกลุ่ม ประชาชนถูกเจ้าขุนมูลนายปิดทุกช่องทางที่สามารถก้าวขึ้นสู่อำนาจ และพระราชอำนาจในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ของ ร.7 แท้จริงก็ตกอยู่ภายใต้เงาของพระญาติในกลุ่มอภิรัฐมนตรี แล้วเมื่อไรหล่ะจะทรงประทานรัฐธรรมนูญ?
ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ความเท่าเทียมเสมอภาคและโอกาสที่ทุกคนสามารถเข้าสู่อำนาจก็ต้องถือว่าดีขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่รวดเร็วทันใจก็ตาม
สิ่งที่น่าเรียนรู้สำหรับทุกคนคือวันนี้เมื่อเรามีอะไรดีๆ ในชีวิตแล้วหวังว่าเราจะไม่กลับไปสร้างเครื่องกีดกันคนอื่นด้วยคำว่าชนชั้นหรือชาติตระกูลอย่างขาดความเข้าใจอีกต่อไป
เครดิต: ศราวุฒิ วิสาพรม, หนังสือ "ราษฏรสามัญหลังวันปฏิวัติ ๒๔๗๕"
ความคิดเห็น