ตำนานการกำเนิดโลกของจีน

ตำนานการกำเนิดโลกมีหลากหลายมากตามวัฒนธรรมและความเชื่อของแต่ละกลุ่ม พระคัมภีร์ของชาวคริสต์สอนว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก ตำนานกรีกบอกว่าจักรวาลมีแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าแล้วจึงมีเทพเจ้าถือกำเนิดและเทพเจ้าให้กำเนิดมนุษย์อีกที ส่วนชนชาติในอุษาคเนย์สอนว่าคนมาจากน้ำเต้าปุงออกมาเป็นคนหลายสีผิว เป็นต้น

ยักษ์ผานกู่ขณะหลับใหลอยู่ในไข่

ตำนานการเกิดโลกของจีนเริ่มต้นหลังจากความวุ่นวายในจักรวาล จนสุดท้ายก่อกำเนิดไข่ทรงกลมที่ภายในบรรจุความสมดุลของหยินและหยางอยู่ภายใน ผานกู่ (盤古) (บางเล่มก็เรียกว่า ป้านกู่) ก็ก่อกำเนิดขึ้นไข่ใบนั้น

ผานกู่

ผานกู่เป็นยักษ์มีขนดก มีเขาอยู่บนศีรษะ ร่างคลุมไปด้วยขน ผานกู่เริ่มต้นสร้างโลกโดยแยกหยินและหยางออกโดยการจามด้วยขวานยักษ์ของเขา หยินกลายเป็นโลก และหยางกลายเป็นท้องฟ้า เพื่อให้ทั้งสองแยกกันตลอดไป ส่วนตัวเองก็ยืนค้ำระหว่างสวรรค์และโลกเป็นเวลาหมื่นๆ ปีเพราะถ้าไม่ค้ำ ฟ้าจะถล่มลงมาติดกับดินเหมือนเดิม ระหว่างที่กำลังยืนค้ำฟ้าด้วยความเหนื่อยยาก เต่า กิเลน หงส์ และมังกร ก็มาช่วยกันค้ำด้วย

ผานกู้ค้ำฟ้าเป็นเวลาหมื่น ๆ ปี สุดท้ายก็สำเร็จและตาย

หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งการแยกฟ้าและดินออกจากกันสำเร็จ ผานกู่ก็เหนื่อยมากและล้มลงตายไป ลมหายใจของผานกู่กลายเป็นสายลม เสียงกลายเป็นสายฟ้า ตาซ้ายกลายเป็นดวงอาทิตย์ ตาขวาเป็นดวงจันทร์ ร่างกายกลายเป็นเทือกเขาและที่ราบสูงส่วนใหญ่ของโลก เลือดกลายเป็นแม่น้ำ กล้ามเนื้อเป็นผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ หนวดเคราเป็นดวงดาวและทางช้างเผือก ขนเป็นพุ่มไม้และป่าไม้ กระดูกเป็นแร่ธาตุมีค่า ไขกระดูกเป็นเพชร เหงื่อกลายเป็นฝน และเหลือบไรบนขนตามร่างกายกายไปเป็นปลาและสัตว์ต่างๆ บนแผ่นดิน ทุกสิ่งของผานกู่ได้กลายเป็นสิ่งต่างๆ บนโลกจนหมด

วัฒนธรรมโบราณของคนแถบเอเซียใต้รวมทั้งไทยก็มีวัฒนธรรม "หินตั้ง" ที่เชื่อว่าเป็นการตั้งไว้ระหว่างพื้นกับฟ้าช่วยไม่ให้ฟ้าถล่มลงมา หลักฐานความเชื่อนี้พบได้มากมายในโบราณสถานของไทยและประเทศภูมิภาคนี้

ต่อมาเจ้าแม่หนี่ว์วา (女媧) ได้เดินทางลงมาจากสวรรค์เพื่อสำรวจโลก หนี่ว์วารู้สึกเหงาจึงสร้างสัตว์และมนุษย์ขึ้นมา หลังจากนั้นก็เริ่มสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นทีละวันๆ วันแรกสร้างไก่ วันที่สองสร้างสุนัข วันที่สามสร้างแกะ วันที่สี่สร้างหมู วันที่ห้าสร้างวัว วันที่หกสร้างม้า และวันที่เจ็ดหนีวาได้ใช้ดินเหลืองผสมกับน้ำปั้นมนุษย์ขึ้นมา และมนุษย์คนแรกที่เกิดขึ้นคือ "ผู้หญิง" และพระนางเกรงว่ามนุษย์ผู้หญิงนี้จะเหงา จึงปั้นรูปใหม่ขึ้นมาให้คล้ายเคียงกันเป็นมนุษย์ผู้ชาย และให้มนุษย์ทั้ง 2 เพศนี้อยู่คู่กันและออกลูกหลานสืบต่อกันมา



รูปร่างของเจ้าแม่หนี่ว์วา คนจีนได้เอารูปร่างของ DNA มาเทียบกัน บางคนก็เคลมว่าคนจีนรู้จัก DNA ก่อนชาติตะวันตกเสียอีก

หลังจากนั้นเจ้าแม่หนี่ว์วาก็ต่อสู้กับปัญหาเสาค้ำฟ้าพังทลาย ปีศาจมากมายหลุดออกมา จนตัวเองต้องเสียสละสลายตัวเองเปลี่ยนเป็นกำแพงสวรรค์ จากนั้นที่โลกก็เกิดชีวิตมากมายมาจนถึงปัจจุบัน


อ้างอิง
  • วีระชัย โชคมุกดา, ประวัติศาสตร์จีน (2557)
  • หลวงพิพิธภัณฑพิจารณ์ (ฟัก โชติกสวัสดิ์) (2550)
  • http://sheh201301.blogspot.com/2013/08/blog-post.html

ความคิดเห็น