โดย กนก ลีฬหเกรียงไกร
คำกลอนบนหนึ่งที่จารึกไว้ที่สุสานจีนที่วัดดอนกล่าวไว้ว่า
เป็นที่น่าแปลกใจที่ในสมัยต้น ร.5 มีประชากรจีนอพยพมากขนาด 1 ล้านคน ขณะที่ประชากรไทยในขณะนั้นมีแค่ 3.6 ล้านคน (เท่าที่สามารถนับและคาดคะเนได้)
เคยได้ยินแม่เล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนคนจีนถูกคนไทยดูถูกมาก เรียกไอ้เจ๊กบ้าง ด่าสารพัด ตำรวจก็ชอบยัดข้อหา รัฐบาลก็สั่งปิดโรงเรียนจีน เวลาไปติดต่อราชการก็ดุด่าดูถูกว่าหาว่าโง่ ทำให้คนจีนก็ไม่ชอบตำรวจกับข้าราชการกันเลย
บันทึกประวัติศาสตร์หลายเล่มที่ผมอ่านมา ทำให้พบว่า ที่คนจีนถูกกระทำแบบนั้นก็พอมีเหตุผลอยู่ เช่น
1. คนจีนที่อพยพเข้ามา พูดไทยไม่ได้ แม้จะพยายามพูดไทยแต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญภาษาไทย จะพูดได้เฉพาะที่เกี่ยวกับการค้าขายเท่านั้น เมื่อสื่อกันไม่รู้เรื่องก็เกิดความไม่เข้าใจกัน
2. คนจีนไม่เหมือนคนชาติอื่น ที่เมื่อตั้งกงศุล 1 คนปกครองชนชาติเดียวกัน ทุกคนก็เชื่อฟัง สมัย ร.3 เคยมีการตั้งกงศุลเป็นผู้นำ 1 คน ปกครองคนจีนทั้งหมดแต่ก็ปกครองไม่ได้ เพราะคนจีนไม่ได้รวมตัวด้วยวิธีแบบนี้ ราชการไทยจะมองว่าจีนปกครองยาก
3. คนจีนทำอาชีพที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์เช่น ค้าฝิ่น ค้าโสเภณี บ่อนการพนัน การผูกขาดการค้าข้าว ประกันภัย โรงเลื่อย เรือสำเภา และยังมีการแตกก๊กแตกเหล่า แต่ก็รวมตัวกันเป็นสมาคม เป็นกลุ่มอำนาจ มีการท้าทายสู้รบกันเหมือนหนังเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ยกพวกตีกัน มีครั้งหนึ่งในสมัย ร.5 คนจีนในกรุงเทพฯ ยกพวกตีกันครั้งใหญ่ถึงขนาดเอาปืนใหญ่มายิงกัน แสดงว่ามีเงินและอำนาจขนาดมีอาวุธหนักสู้กันเลย จน ร.5 ต้องออกกฎหมายปราบโจรอั่งยี่
4. ในระบบเศรษฐกิจ จีนจะผูกขาดตั้งแต่ระดับบนถึงล่าง มีกงศุลการคัาที่รับการแต่งตั้งในสมัย ร.3 จนถึงระดับรากหญ้าที่คนจีนทำงานหนัก ขณะนั้นคนไทยส่วนใหญ่ในระดับแรงงานไทยก็มักเป็นทาสติดเรือน ไม่สามารถออกมาทำงานเหมือนคนจีนได้
5. คนจีนประดิษฐ์เงินขึ้นมาใช้กันเองในหมู่คนจีน มีการค้นพบการใช้เงินภายในกลุ่มของตนเองครั้งแรกที่ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ในสมัย ร.5 ซึ่งถือว่าอันตรายแล้ว เพราะเหมือนกับจะมาตั้งอาณานิคมแต้จิ๋วในแผ่นดินไทยกันเลย
6. ปลายสมัย ร.5 ข้าราชการไทยและคนชั้นสูงเปลี่ยนความนิยมในสินค้าจีนเป็นสินค้าจากยุโรป ทำให้ดุลอำนาจการค้าได้ถูกเปลี่ยนจากมือของคนจีนไปสู่คนอังกฤษและฝรั่งเศสแทน เมื่อคนจีนค้าขายไม่ได้เหมือนเดิม สำเพ็งที่เคยคึกคักก็ถึงคราวล่มสลาย ธุรกิจปิดตัว ล้มละลาย สำเพ็งก็ร้าง คนจีนบางส่วนอพยพกลับจีน และอีกมากที่กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวไป
7. ในสมัยปฏิวัติ 2475 ประเทศไทยก้าวสู่ประชาธิปไตย แต่ช่วงเดียวกันที่มณฑลกวางตุ้ง (ที่มาของคนจีนแต้จิ๋วมากมายในประเทศไทย) เป็นฐานกำลังใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนของเหมาเจ๋อตุง รัฐบาลไทยกลัวว่าคอมมิวนิสต์จะแผ่อิทธิพลมาถึงไทยผ่านจีนแต้จิ๋วที่อยู่ที่เมืองไทย เพราะนิสัยคนแต้จิ๋วมักจะไปๆ มาๆ ระหว่างไทยกับบ้านที่เมืองจีน
นี่หล่ะครับ สาเหตุที่คนไทยสมัยก่อนเลยไม่ชอบคนจีนซึ่งปัจจุบันไม่มีแล้ว คนจีนในไทยกลายเป็นคนไทยจนเราไม่สามารถจดจำเรื่องราวอะไรแบบนั้นได้อีกต่อไป
ผมเชื่อว่าความเข้าใจที่ไปที่มาของกันและกันทั้งปัญหาและความรู้สึกติดอยู่ในใจ จะทำให้เกิดการลดอคคติต่อกันและปรับตัวเข้าหากันได้เป็นอย่างดี ความจริงเรื่องนี้คนจีนรุ่นหลังๆ น่าจะรู้ไว้เพื่อเล่าให้รุ่นพ่อแม่ฟังก็ดี เพราะสมัยนั้นสื่ออะไรยังไม่เหมือนปัจจุบัน ความเข้าใจของรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราก็เป็นไปเท่าที่มีประสบการณ์ตรงกับเรื่องที่ได้ยินจากคนใกล้ตัวเท่านั้น
อ้างอิง
คำกลอนบนหนึ่งที่จารึกไว้ที่สุสานจีนที่วัดดอนกล่าวไว้ว่า
เคยล่องน้ำดำ เคยกินน้ำขม ฝากความทุกข์เต็มอุระล่องไปกับสายน้ำ หวังจะได้เป็นเจ้าสัว กลับบ้านยังไม่ได้ สุดท้ายได้แต่ทิ้งร่างไว้ที่หงี่ซัวบทกลอนนี้สะท้อนความรู้สึกของชาวจีนแต้จิ๋วจากซัวเถาที่มาทิ้งร่างไว้ที่ป่าช้าศพไร้ญาติทุ่งวัดดอน แทนที่จะประสบความสำเร็จเป็นเจ้าสัวมีเงินมีทองร่ำรวย กลับกลายเป็นความล้มเหลวและตายกลายเป็นศพไร้ญาติฝังไว้ที่สุสาน (หงี่ซัว) แห่งนี้...
ชาวแต้จิ๋วในเมืองไทยมีคำกล่าวเล่นๆ ที่เรียกว่า "ซาซัว" หรือ ซัวสามประการ คือ 1.จ๊อซัว หมายถึง การได้เป็นเจ้าสัว 2.ตึ่งซัว หมายถึง การได้กลับไปเมืองจีน 3.หงี่ซัว หมายถึง สุสานวัดดอน คือการถูกฝังเป็นผีไม่มีญาติตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงตั้งกรุงธนบุรีสำเร็จ คนจีนโดยเฉพาะคนแต้จิ๋วอพยพเข้ากรุงธนฯ และกรุงเทพฯ อย่างล้นหลาม เพราะพระเจ้าแผ่นดินเป็นคนแต้จิ๋วเหมือนกัน ทำให้ประชากรคนกรุงเทพฯ ธนบุรีฯ กลุ่มใหญ่ทีเดียวเป็นคนจีนไว้ผมเปียสไตล์ราชวงศ์ชิง
เป็นที่น่าแปลกใจที่ในสมัยต้น ร.5 มีประชากรจีนอพยพมากขนาด 1 ล้านคน ขณะที่ประชากรไทยในขณะนั้นมีแค่ 3.6 ล้านคน (เท่าที่สามารถนับและคาดคะเนได้)
![]() |
เรืออพยพคนจีนในสภาพที่เราอาจจะเคยได้ยินว่า "มาแค่เสื่อผืนหมอนใบ" |
![]() |
ท่าราชวงศ์ ที่ขึ้นเรือของคนจีนอพยพ ทำให้เกิดแหล่งการค้าใหญ่คือสำเพ็ง ซึ่งยังคงเห็นได้ในปัจจุบัน |
บันทึกประวัติศาสตร์หลายเล่มที่ผมอ่านมา ทำให้พบว่า ที่คนจีนถูกกระทำแบบนั้นก็พอมีเหตุผลอยู่ เช่น
1. คนจีนที่อพยพเข้ามา พูดไทยไม่ได้ แม้จะพยายามพูดไทยแต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญภาษาไทย จะพูดได้เฉพาะที่เกี่ยวกับการค้าขายเท่านั้น เมื่อสื่อกันไม่รู้เรื่องก็เกิดความไม่เข้าใจกัน
2. คนจีนไม่เหมือนคนชาติอื่น ที่เมื่อตั้งกงศุล 1 คนปกครองชนชาติเดียวกัน ทุกคนก็เชื่อฟัง สมัย ร.3 เคยมีการตั้งกงศุลเป็นผู้นำ 1 คน ปกครองคนจีนทั้งหมดแต่ก็ปกครองไม่ได้ เพราะคนจีนไม่ได้รวมตัวด้วยวิธีแบบนี้ ราชการไทยจะมองว่าจีนปกครองยาก
3. คนจีนทำอาชีพที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์เช่น ค้าฝิ่น ค้าโสเภณี บ่อนการพนัน การผูกขาดการค้าข้าว ประกันภัย โรงเลื่อย เรือสำเภา และยังมีการแตกก๊กแตกเหล่า แต่ก็รวมตัวกันเป็นสมาคม เป็นกลุ่มอำนาจ มีการท้าทายสู้รบกันเหมือนหนังเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ยกพวกตีกัน มีครั้งหนึ่งในสมัย ร.5 คนจีนในกรุงเทพฯ ยกพวกตีกันครั้งใหญ่ถึงขนาดเอาปืนใหญ่มายิงกัน แสดงว่ามีเงินและอำนาจขนาดมีอาวุธหนักสู้กันเลย จน ร.5 ต้องออกกฎหมายปราบโจรอั่งยี่
4. ในระบบเศรษฐกิจ จีนจะผูกขาดตั้งแต่ระดับบนถึงล่าง มีกงศุลการคัาที่รับการแต่งตั้งในสมัย ร.3 จนถึงระดับรากหญ้าที่คนจีนทำงานหนัก ขณะนั้นคนไทยส่วนใหญ่ในระดับแรงงานไทยก็มักเป็นทาสติดเรือน ไม่สามารถออกมาทำงานเหมือนคนจีนได้
5. คนจีนประดิษฐ์เงินขึ้นมาใช้กันเองในหมู่คนจีน มีการค้นพบการใช้เงินภายในกลุ่มของตนเองครั้งแรกที่ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ในสมัย ร.5 ซึ่งถือว่าอันตรายแล้ว เพราะเหมือนกับจะมาตั้งอาณานิคมแต้จิ๋วในแผ่นดินไทยกันเลย
6. ปลายสมัย ร.5 ข้าราชการไทยและคนชั้นสูงเปลี่ยนความนิยมในสินค้าจีนเป็นสินค้าจากยุโรป ทำให้ดุลอำนาจการค้าได้ถูกเปลี่ยนจากมือของคนจีนไปสู่คนอังกฤษและฝรั่งเศสแทน เมื่อคนจีนค้าขายไม่ได้เหมือนเดิม สำเพ็งที่เคยคึกคักก็ถึงคราวล่มสลาย ธุรกิจปิดตัว ล้มละลาย สำเพ็งก็ร้าง คนจีนบางส่วนอพยพกลับจีน และอีกมากที่กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวไป
7. ในสมัยปฏิวัติ 2475 ประเทศไทยก้าวสู่ประชาธิปไตย แต่ช่วงเดียวกันที่มณฑลกวางตุ้ง (ที่มาของคนจีนแต้จิ๋วมากมายในประเทศไทย) เป็นฐานกำลังใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนของเหมาเจ๋อตุง รัฐบาลไทยกลัวว่าคอมมิวนิสต์จะแผ่อิทธิพลมาถึงไทยผ่านจีนแต้จิ๋วที่อยู่ที่เมืองไทย เพราะนิสัยคนแต้จิ๋วมักจะไปๆ มาๆ ระหว่างไทยกับบ้านที่เมืองจีน
นี่หล่ะครับ สาเหตุที่คนไทยสมัยก่อนเลยไม่ชอบคนจีนซึ่งปัจจุบันไม่มีแล้ว คนจีนในไทยกลายเป็นคนไทยจนเราไม่สามารถจดจำเรื่องราวอะไรแบบนั้นได้อีกต่อไป
ผมเชื่อว่าความเข้าใจที่ไปที่มาของกันและกันทั้งปัญหาและความรู้สึกติดอยู่ในใจ จะทำให้เกิดการลดอคคติต่อกันและปรับตัวเข้าหากันได้เป็นอย่างดี ความจริงเรื่องนี้คนจีนรุ่นหลังๆ น่าจะรู้ไว้เพื่อเล่าให้รุ่นพ่อแม่ฟังก็ดี เพราะสมัยนั้นสื่ออะไรยังไม่เหมือนปัจจุบัน ความเข้าใจของรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราก็เป็นไปเท่าที่มีประสบการณ์ตรงกับเรื่องที่ได้ยินจากคนใกล้ตัวเท่านั้น
อ้างอิง
- หนังสือ "แต้จิ๋ว: จีนกลุ่มน้อยที่ยิ่งใหญ่", ถาวร สิกขโกศล
- หนังสือ "ชำแหล่ะแผนยึดกรุงธนบุรี", ปรามินทร์ เครือทอง
- ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช
ความคิดเห็น