องค์ประกอบและการบริหารองค์กรนักคิดทางศาสนศาสตร์ (Theological Think Tank)

นักคิดในระดับองค์กรเพื่อประโยชน์ของภาพรวมมีความสำคัญมาก เพราะต้องใช้ความรู้ในระดับคอนเซ็ปท์ (Conceptual Skill) มากกว่าทักษะมนุษย์ (Human Skill) เพื่อสร้างแนวทางและหาคำตอบเชิงลึก ผ่านวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และสื่อสารอย่างมีพลัง สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อองค์กรและสังคมโดยรวม

องค์กรนักคิดทางศาสนศาสตร์ (Theological Think Tank) ไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มคนที่ “คิดเก่ง” แต่คือระบบที่รวมบุคลากรหลากหลายสาขา มีกระบวนการวิเคราะห์เชิงลึก ตั้งวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และรู้วิธีการสื่อสารที่ดี ที่สำคัญประเด็นที่สรุปออกมาต้องเป็นที่ยอมรับได้กับกลุ่มคนที่จะนำไปปฏิบัติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ปกติหลักการเดียวกัน ผู้ฟังที่เป็นสังคมกลุ่มใหญ่อาจมีระดับการยอมรับต่างกัน บางกลุ่มรับทั้งหมด รับบางส่วน หรือไม่รับทั้งหมด

กรณีของสังคมศาสตร์ "ความหลากหลายทางความคิดนำไปสู่ความเติบโตของสังคมมากกว่าสังคมที่คิดแบบเดียว" การคำนึงถึงความหลากหลายจึงดี นักคิดจึงให้แนวทางเป็นกรอบการปฏิบัติโดยยังคงให้พื้นที่ผู้ฟังสามารถเติบโตในแนวทางของเขาเองได้ เรื่องนี้เป็นศาสตร์และศิลป์อย่างแท้จริง

บทบาทสำคัญขององค์กรนักคิดทางศาสนศาสตร์ จากแนวทางของ Berkley Center for Religion, Peace & World Affairs (Georgetown University), Center for Missiological Research (Fuller Theological Seminary) และ Oxford Centre for Mission Studies (UK) ให้แนวทาง 4 ประเด็นหลักคือ

1. ตีความพระคัมภีร์และหลักศาสนาในบริบทใหม่ เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล สิ่งแวดล้อม หรือสิทธิมนุษยชน

2. เสนอแนวทางเชิงนโยบายต่อคริสตจักร เช่น การศึกษา ศาสนากับสังคมพหุวัฒนธรรม การอยู่นร่วมกันในความหลากหลายของผู้คน

3. สร้างพื้นที่เสวนาระหว่างศาสนา (Interfaith Dialogue) เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

4. พัฒนากรอบคิดด้านคุณธรรมและจริยธรรม ที่ตอบโจทย์สังคมปัจจุบัน

จากการศึกษามาโดยตลอดและประสบการณ์ในฐานะสมาชิกชมรมนักคิดคริสเตียนไทย ผมคิดว่าองค์กรนักคิดทางศาสนศาสตร์ สำหรับองค์กร โดยไม่ใช่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการทำงานของคริสตจักรใดคริสตจักรหนึ่ง องค์ประกอบของ "คณะ" สำคัญมากกว่า และต้องถูกพิจารณาก่อน "ตัวบุคคล" เพราะต้นทางต้องมีความเข้าใจที่หลากหลาย และปลายทางต้องผลักดันจนเกิดการนำไปใช้ได้จริง คณะศาสนศาสตร์ จึงควรเป็นคณะที่ประกอบไปด้วย

1. ตัวแทนจากคริสตจักร

2. ตัวแทนจากองค์การ (Parachurch)

3. ตัวแทนจากสถาบันพระคัมภีร์ (Accredited Seminary)

4. ตัวแทนจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ

นอกจากนั้นผู้ที่จะเป็นประธานก็สำคัญ นอกจากเป็นตัวแทนขององค์กรแล้ว ยังต้องสามารถประสานนักศาสนศาสตร์ในทีมอีก การยอมรับต้องชัดเจนในบรรดาสมาชิกในทีม

แม้คริสเตียนจะมีกรอบพระคัมภีร์ในการตัดสินเรื่องต่าง ๆ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถใช้พระคัมภีร์อย่างถูกต้อง หรือไม่ใช่นักคิดทุกคนจะเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ หากสังคมคริสเตียนไม่ได้เข้าใจหรือเปิดใจอย่างจริงใจ งานในลักษณะองค์กรที่ปกครองคนในระดับสังคมจึงต้องมีกระบวนคิดที่ดีเพื่อจะช่วยให้สังคมคริสเตียนอยู่ร่วมกันอย่างได้มีความเข้าใจ

ความคิดเห็น